เปิดร้านอาหาร อยากทำออนไลน์ เพิ่มยอดขาย! เริ่มต้นยังไงดี
แม้เศรษฐกิจ จะเป็นยังไง
แต่เรื่องการกิน มันต้องมี อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง
ดังนั้น ต่อให้เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
อาหารการกิน ก็ยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่ดี
ถ้าใครทำร้านอาหารอยู่ มาฟังแนวคิด การตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มยอดขายกันทางนี้เลยครับ
(ใช้ได้ทั้งแบบ มีหน้าร้าน หรือไม่มีหน้าร้านนะครับ เลือกใช้ตามความเหมาะสม)
google my business
หรือแผนที่สำหรับร้านคุณ ใน Google maps
เวลาคนเราจะหาอะไรกินแล้วต่างถิ่นต่างที่ สิ่งที่ควรจะเปิดหาก่อนเลยก็คือ Google Map เพราะนอกเหนือจากการบอกเส้นทางไปร้านอย่างถูกต้องแล้ว มันสามารถจะบอกได้ว่าร้านอาหารไหนที่น่าสนใจมีคนไปกินมากน้อยแค่ไหน มีภาพให้เห็น มีข้อมูลเบอร์โทรให้เราได้ติดต่อไปสอบถามว่าเปิดหรือเปล่า
สิ่งที่จะทำให้คนตัดสินใจว่าจะไปกินหรือไม่ นั่นคือจำนวนรีวิวและจำนวนดาวที่แสดงไว้ ถ้าคนชมเยอะๆก็พร้อมจะไปกินทันที แต่ในทางกลับกันถ้าดาวน้อยๆก็ไม่อยากจะไป
ดังนั้นเจ้าของร้าน ต้องเอาใจใส่ให้ดีนะครับหากใครมีพิกัดอยู่ใน Google Map และจะดีไปมากยิ่งขึ้นหากคุณทำการยืนยันความเป็นเจ้าของ ให้เรียบร้อย (เรียกว่า verify google my business)
เพราะคุณจะเห็นว่าคนมาที่ร้านเวลาไหน แล้วค้นหาคำว่าอะไรถึงจะเจอร้านคุณ
location based application : wongnai / trip advisor
นอกเหนือจาก Google My Business แล้ว Application ที่คนใช้หาร้านอาหารก็คือ wongnai แต่หากเป็นนักท่องเที่ยวแล้ว จะเชื่อ tripadvisor มากกว่า
ดังนั้น การมีเนื้อหาที่ update การเข้าไปพุดคุยกับคนที่มารีวิวร้านผ่าน app wongnai จึงเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าอยากจะปรับเปลี่ยนข้อมูลของร้านคุณภายในนั้นด้วยตัวเอง จะต้องจัดการผ่านระบบ rms หรือ Restaurant management system ซึ่งเป็นของ wongnai เอง
ข้อดีก็คือ คุณสามารถปรับเปลี่ยนเมนู เพื่อใช้ร่วมกับ line man delivery ได้ด้วย
Delivery Application :
นี่คือทางรอดของร้านอาหารทุกร้าน เว้นแต่ว่าร้านคุณขายดีมากๆจนทำไม่ทัน
แต่อย่างไรก็ตามแม้แต่ร้านขายดีเขาก็ยังต้องใช้บริการเดลิเวอรี่อยู่เสมอ
เพราะลูกค้าไม่อยากมานั่งรอที่ร้าน ขอสั่งผ่าน App ดีกว่า
ขนาดร้านที่ขายดีๆเขายังใช้ แล้วร้านคุณทำไมถึงจะไม่ใช้บ้างล่ะ
ในบ้านเรามีเดลิเวอรี่อยู่มากมายหลายเจ้า แต่ละรายก็จะมีเงื่อนไขในการใช้งานแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น LINE MAN / get / food panda / grab food
แต่ถ้าพูดถึงความง่าย และ ความสะดวก ผมก็ยังยกให้ LINE MAN มาเป็นเจ้าแรก สำหรับ GET ตอนนี้ กำลังวุ่นวาย ยังไม่สามารถรับร้านค้าเข้าไปร่วมได้ ทั้งหมด ให้เวลาเค้าหน่อย / grab food ก็จะมีการเก็บค่า % ที่มากขึ้น แต่ข้อดีก็คือ ลูกค้าที่ไม่มีเงินสดเลย สามารถใช้ grab pay ที่ตัดเงินผ่านบัตรเครดิตสั่งอาหารได้ / ส่วน foodpanda นั้น คลาสสิกสุดๆ ต่างจังหวัดโดนยึดพื้นที่ไปเยอะแล้ว
ยังไม่นับรวมเจ้า delivery ท้องถิ่นในจังหวัดใหญ่ๆ อย่าง นครปฐม ชลบุรี หรือ ฉะเชิงเทรา (เท่าที่ทราบนะครับ) ก็น่าสนใจ น่าเข้าร่วมครับ
Line OA : Line Official Account
สำหรับร้านอาหารกรณีของการยิงบรอดแคสท์ อาจจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไปแล้ว เลยอยากให้มาโฟกัสฟังก์ชั่นที่เพิ่มยอดขายได้เต็มที่นั่นคือ
- บัตรสะสมแต้ม
สมัยนี้ ลูกค้าประจำ คือคนที่สร้างรายได้ให้กับเราอย่างสม่ำเสมอ อีกหนึ่งเทคนิคก็คือ การทำบัตรสะสมแต้ม จะทำให้ลูกค้าได้สนุกกับการสะสมคะแนน แล้วได้รับรางวัลกลับไป จะเล็กน้อย ก็ถือว่าได้มีส่วนร่วมกับร้านมากขึ้น คิดถึงร้านมากขึ้น ที่สำคัญไม่เปลืองกระดาษ เจ๋งตรงนี้ - คูปอง
หากต้องการหาลูกค้าใหม่เข้าร้าน การให้ promotion หรือส่วนลด เพื่อมากินครั้งแรก ถือว่าเป็นไอเดียที่น่าทำ ขอให้แค่มาลอง ถ้าชอบก็กินต่อได้ กลายเป็นลูกค้าประจำกันต่อไป ดังนั้น
หรือจะใช้ต่อยอดกับลูกค้าเก่าก็ได้ เช่นให้สิทธิ์ซื้ออาหารเพิ่มในราคาพิเศษ หากกินครบ xxx บาท สำหรับคนที่มีคูปองนี้ ถามว่า จะแจกในร้านก็ทำได้นะครับ แต่ถ้ามีคูปอง เราก็จะสามารถเรียกลูกค้า ที่อยู่ไกลๆ เดินทางมารับสิทธิ์ ที่ร้านเราได้ นี่แหละ คือความสำคัญของคูปอง
Facebook group
สมัยนี้ ถ้าคนจะคุยกัน ส่วนใหญ่ จะไม่ได้เข้า pantip แต่จะเลือกใช้ facebook group เพื่อคุยกันมากกว่า เพราะถูกจัดหมวด จัดกลุ่ม ได้ยิบย่อยตามความต้องการ
และกลุ่มอาหารการกิน เครื่องดื่ม ก็เป็นชุมชน ที่เราสามารถเอาร้านอาหารไปแนะนำ หรือ นำเสนอได้ แต่ต้องระวังเรื่องกฏในการโพสต์ให้ดีๆ โพสต์ถี่ นอกจากคนจะเบื่อ ก็ระวังจะโดนข้อหา spam เอาได้ง่ายๆ
Fanpage + Facebook ads
เครื่องมือที่ทรงพลัง และใช้งานง่ายที่สุด ในสมัยนี้ ก็คือ การเปิดเพจ เพราะ update ได้ง่ายผ่านมือถือ ถ่ายรูป ถ่ายคลิป โพสต์ข้อความ ทำกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
แต่ถ้าจะให้คนเห็นได้มากขึ้น ก็ต้องยิงแอด หรือ ทำโฆษณาโปรโมตโพสต์ นั่นเอง
สำหรับร้านอาหาร ถ้าทำง่ายๆ ก็คือ โปรโมตให้คนรอบๆ ร้านของเรา ได้เห็นว่าร้านเราอยู่ตรงไหน ขายอะไร แล้วอยากมากินนั่นเอง (ถือว่าง่ายที่สุดแล้ว)
twitter
สำหรับสายคาเฟ่ เครื่องมือที่ทรงพลังในการทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักมากที่สุด ก็คือ twitter นั่นเอง แต่ส่วนใหญ่พลังนี้จะไปอยู่กับ blogger และ influencer สาย twitter เพราะจะเข้าใจการสื่อสารกับคนวัยเดียวกันมากกว่า เพราะการพูด จะแตกต่างไปจาก facebook โดยสิ้นเชิง / แต่คำสั้นๆ เข้าใจง่ายๆ ภายใน 1 นาทีนี้แหละ ที่จะดึงให้คนมาหาร้านเราได้มากขึ้น
การใช้ twitter ทำให้คนรู้จัก จะต้องไปผูกสัมพันธ์ กับเหล่า influencer ไว้เยอะๆ เชิญมากิน หรือ จะจ้างมาถ่ายทำ ก็แล้วแต่พิจารณา
Instagram
สื่อที่สร้างอารมณ์ ให้คนเห็นแล้วอยากไปใช้บริการ ก็คือ Instagram นั่นเอง สื่อนี้ ถ้าร้านอาหาร มีความสามารถในการถ่ายทอดภาพ ก็ใช้เครื่องมือนี้ได้เลย
ถ้าภาพสื่ออารมณ์ให้คนอยากกิน อยากไปสัมผัส ก็จะทำให้คนมาใช้บริการมากขึ้นอย่างแน่นอน
TikTok
เครื่องมือใหม่ ที่เข้าใจง่ายๆ เพราะใช้เวลาไม่นาน เพลงประกอบก็สนุกสนาน และล้วนแต่เป็นเพลงดังๆ ยิ่งประกอบกับ ไอเดียของเหล่าคนสร้างเนื้อหาใน tiktok ยิ่งสนุกมากขึ้น
ถ้าร้านไหน เก่งเรื่องแบบนี้ จะลองสร้าง account tiktok แล้วถ่ายทอดความน่ากินของอาหารตัวเองได้ครับ แต่ถ้าไม่ถนัด ก็เชิญ influencer สาย twitter มากินอาหารที่ร้านได้
นี่คือไอเดียบางส่วน ของการใช้ Online Marketing มาช่วยทำให้ยอดขายร้านอาหารของคุณเพิ่มมากขึ้น
ลองนำไปใช้งานกันได้นะครับ
ถ้าใครอยากรู้ลึกๆ หรือละเอียดมากขึ้นกว่านี้
ผมจะนำเสนอในโอกาสต่อไป
อยากขายของกินทั่วไทย ทำการตลาดออนไลน์ ยังไงดี
อยากขายของกินทั่วไทย ทำการตลาดออนไลน์ ยังไงดี
สภาพเศรษฐกิจ ที่มีแต่คนบอกว่าแย่ๆ ในทุกปี
ข่าวของโรงงานยักษ์ใหญ่ที่ถูกปิด
ข่าวที่พนักงานเป็นจำนวนมาก ไปรอหน้าโรงงานแล้วเจอกระดาษแปะว่า ไม่ต้องมาทำงานแล้ว
ภาพข่าวเรื่องไวรัส ที่ทำให้คนเจ็บป่วยระบาดรุนแรง
ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบในวงกว้าง ไปเรื่อยๆ
ถ้าเป็นคุณเอง จะเลือกทำอะไร ระหว่าง
รอให้เศรษฐกิจแย่ไปเรื่อยๆ แล้วไม่ทำอะไร อ่านข่าวแล้วใจฝ่อไปทุกวัน
หรือ มองหาทางเลือกอื่นๆ ที่ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น หลายทาง ไม่รอความหวังจากแหล่งเดียว
เมื่อไม่นานมานี้ มีข้อความใน inbox จากน้องคนหนึ่ง ได้มาปรึกษาผมครับ
ว่าอยากขายของกินออนไลน์ และอยากขายไปทั่วประเทศ
จะต้องทำอย่างไรดี
ผมว่าเรื่องนี้ น่าสนใจดี
เพราะส่วนใหญ่ คนมักจะเลือกไปขายครีม ขายยา ขายอาหารเสริมกันซะมาก
จนลืมไปว่า ของกินเนี่ย เป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายๆ
เพราะทุกคนเกิดมาต้องกินอยู่แล้ว
มีมื้อหลัก ก็ยังมีมื้อย่อยๆ ได้
แล้วถ้าเป็นอาหารที่กินกับข้าวได้ อันนี้ ก็ยิ่งดีไปกันใหญ่
เพราะว่ามันจะหมดเร็ว และซื้อซ้ำได้ (ถ้าอร่อยจริง อันนี้สบายไปเลย)
เลยอยากจะแชร์ แนวคิดการทำการตลาดออนไลน์ สำหรับของกิน ที่ส่งได้ทั่วประเทศ
ขอแบ่งเป็นแบบนี้ครับ
ไปรับมาขาย
แบบนี้ เหมาะสำหรับคนที่จะลองเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ก่อน ไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรมาก คนที่มีงานประจำก็สามารถทำได้ เครื่องมือที่เราจะใช้ทำการตลาด ก็คือ เฟสบุ๊คส่วนตัว ของเรานี่แหละครับ แต่คุณควรจะต้องเป็นคนที่ สื่อสารกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลานะครับ
ไม่ใช่เฟสบุ๊คอวตาร ที่มีท้องฟ้า การ์ตูน แล้วเอาแต่บ่นๆๆ เรื่องชีวิต รอคนมากดไลค์ หรือ ให้กำลังเพียงอย่างเดียว
ถ้าเฟสบุ๊คคุณมี ภาพการใช้ชีวิตประจำวัน ไปไหนมาไหน มีเพื่อนฝูง comment ติดตาม แบบนี้ ก็พอไปรอดอยู่ครับ เอา
ยังไม่ต้องยิงแอดอะไรเลย ใช้ตัวเรา และต้นทุนของเราซื่อๆเลย
แต่ต้องมั่นใจว่า ของนี้ มันน่ากินจริงๆ แค่โพสต์ ก็มีคนอยากกินแล้ว
ถ้ากลัวว่าจะไม่มีเงินไปลงทุน
ก็ให้ใช้วิธีการแบบ preorder เอ้า ใครอยากกินอันนี้ บอกมา เดี๋ยววันจันทร์ จะเอามาขาย
ถ้าทำแบบนี้ เราไม่จำเป็นต้อง ออกเงินไปซื้อของมาก่อน เพราะรู้จำนวนที่แท้จริงว่า เท่าไร
ถ้าไม่มีใครสั่ง ก็ไม่ต้องเอามาขาย จบ
ลองทำแบบนี้นะครับ
เริ่มจากเพื่อนใกล้ตัว ที่ทำงาน ก่อนก็ได้
หรือจะไปโพสต์ลงในเฟสบุ๊คกลุ่ม ที่เขาอนุญาต ก็ได้ แต่เราจะต้องมีความน่าเชื่อถือมากพอ และไม่ทำตัวเหลวไหล เนื่องจากในกลุ่ม จะมีกฏระเบียบข้อบังคับ หลายอย่าง ต้องทำตัวให้ดีๆ
หรือจะไปลงใน Market place ก็ได้ แถมยังสามารถทำโฆษณาได้แบบง่ายๆ ตามพื้นที่ได้ด้วย เพื่อเพิ่มการมองเห็น อันนี้ เหมาะสำหรับมือใหม่มากๆ ครับ ลองดูไม่เสียหาย
แต่ถ้าเราชำนาญมากขึ้น มีส่วนต่างมากพอ จะไปเปิดเพจ เพื่อขายเป็นเรื่องเป็นราวก็ได้ แต่ต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะต้องไปลงทุนเรื่องการทำ content เนื้อหา และการยิงแอดเพิ่มเติม
หากไม่ถนัดเรื่องการยิงแอด ก็สามารถไปสมัครขายใน shopee ได้ แต่จะมีค่าธรรมเนียมขายของเมื่อมีคนมาซื้อ สิ่งที่ควรศึกษาหากจะลงมือทำ shopee ก็คือ การเตรียม stock สินค้า และค่าขนส่ง ซึ่งต้องคำนวณให้ดี ไม่งั้นเข้าเนื้อตัวเอง
ทำขายเอง
ถ้าเป็นคนที่ทำธุรกิจของกิน ก็มักจะมีการลงทุน ลงแรง เพื่อสร้างผลกำไรอยู่แล้ว
ดังนั้น ประสบการณ์ของคุณ น่าจะผ่านจุดที่ไปรับของมาขายไปเยอะแล้ว
อันดับแรก ให้เช็คเรื่องกำไรสินค้า ว่ามีส่วนต่างมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ประมาณการณ์ ได้ว่า เราควรมีต้นทุนเท่าไร ในการทำโฆษณา ขนส่งสินค้า
ส่วนเครื่องมือที่จะใช้ แนะนำว่า ถ้าถนัดเรื่องการทำเนื้อหา การยิงแอด ก็ให้เลือกใช้เพจในการทำการตลาดครับ
เนื้อหาที่ใช้ในการขายของ จะต้องทำให้คนเกิดความอยาก ที่จะซื้อสินค้าของเรา
ถ้าจะมาจัดห่อสวยงาม วางสวยๆ แบบนี้ เหมือนโฆษณาเกินไป
สิ่งที่ควรทำ คือ ให้นึกถึงตอน ที่เราทำกับข้าว หรือ กินข้าว ภาพแบบไหน เสียงแบบไหน ที่ทำให้เรารู้สึกอยากกินจนน้ำลายสอ
ให้เอาประสบการณ์นั้น มาถ่ายทอด ให้คนดูโฆษณาของเรา อยาก แล้วมาสั่งของกินกับเรา
ลองดูทั้งแบบภาพ และ video
แต่ถ้าอยากรู้ว่า video ที่ทำออกมาแล้ว น่ากินเป็นยังไง ให้ไปเปิด tiktok แล้ว search คำว่า อร่อย น่ากิน คุณจะเจอไอเดีย ทำ content น่ากินเพียบ ส่วนใหญ่ ทำออกมาแล้วน่ากิน คือคลิปคนจีนกินอาหารครับ
และถ้าอยากสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าประเภทของกิน ที่ดูจะเหมือนกันไปหมด
การสร้างแบรนด์ คือสิ่งสำคัญ
การให้ Blogger มาช่วยรีวิว ก็จะสร้างกระแสให้คนจำได้ว่า ถ้าอยากกินของแบบนี้ ต้องเลือกกินยี่ห้อ นี้ เพราะว่า มันอร่อย กำลังดี พิเศษกว่าคนอื่นๆ อย่างไร
ถ้าดีที่สุด มีงบ ก็ควรจ้าง Blogger ประเภท youtuber หรือคนที่มีเว็บไซต์ด้วย เพราะเวลาคนหาชื่อแบรนด์ของเรา รีวิวในนี้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับเราในระยะยาว
แต่ถ้าสินค้าเข้าใจง่าย จนแทบไม่ต้องบอกอะไรมาก การใช้ shopee ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะคนส่วนใหญ่สมัยนี้ จิ้มซื้อของผ่านแอพนี้กันเป็นเรื่องปกติ เพราะมีระบบ แจ้งสถานะ ชัดเจน ว่าส่งถึงเมื่อไร
สิ่งสำคัญในการขายผ่าน shopee ก็คือคะแนนดาว รีวิวจาก User ดังนั้น ซึ่งหากอยากทำคะแนนนี้ ให้ได้สูงๆ ตัวสินค้า และบริการจะต้องประทับใจมากๆ
และทั้งหมดนี้คือ ไอเดียโดยรวม ที่ทำให้คุณเห็นภาพของการขายของกินทั่วไทย ผ่านออนไลน์
หากวันนี้ อยากเริ่ม
ลองดูสักตั้งครับ
ดีกว่านั่งรอดูสัญญาณเศรษฐกิจพังไปทุกวัน ให้ใจห่อเหี่ยวไปเปล่าๆ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เรียนไปแล้ว ไม่ลงมือทำ ก็มีค่าเท่าเดิม เหมือนก่อนไปเรียน
ในยุคที่ใครๆ ก็บอกว่า การตลาดออนไลน์เป็นเรื่องสำคัญ
หนังสือ คอร์สออนไลน์ สัมมนา ทั้งฟรี หรือ ไม่ฟรี
คือสิ่งที่เราซื้อ เก็บไว้
เรียนๆๆ ชื่นชอบ เฮฮา ไฟลุกพรึบ!!!
อันนี้ คือความสุขของการได้เรียนจริงๆ ครับ
ผมเองก็ผ่านการเรียนรู้ มาหลากหลายประเภทมากครับ
การพูด การเขียน การทำโฆษณา การตัดต่อ การทำเว็บ
การยิงแอดเฟสบุ๊ค การยิงแอด google
อ่านหนังสือ twitter / line@ / instagram
google analytics / wordpress
มากมายหลายหลาก คณานับ
แต่จะมีความรู้ที่เกิดผลลัพธ์ได้จริง
ก็ต่อเมื่อ ได้ลงมือทำ
หากเรียนรู้แล้ว ได้ลงมือทำบ่อยๆ
เราจะเจอข้อเท็จจริง เจอข้อมูลที่ไม่มีในหนังสือ หรือ ตำราใดๆ
เป็นการค้นพบสูตรลับ อย่างแท้จริง (เพราะยังไม่มีใครเขียนไว้)
เพราะขนาดอะไรที่ไม่ค่อยได้ทำ
ยังต้องกลับไปเปิดตำรา หรือ สิ่งที่ตัวเองโน้ตเอาไว้ อีกรอบ
ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์นะครับ
(สบายใจได้ครับ อันนี้คือเรื่องปกติ ไม่ใช่ความผิด ถ้าคุณจะลืมไปบ้าง เพราะไม่ค่อยได้ทำ หรือเรียกกันว่า คืนครู ไปหมดแล้ว)
ดังนั้น คำพูดที่กล่าวว่า
“เรียนไปแล้ว ไม่ลงมือทำ ก็มีค่าเท่าเดิม เหมือนก่อนไปเรียน”
จึงเป็นเรื่องจริง 100%
เรียนแล้ว ลงมือทำนะครับ
เงินที่จ่ายไป จะได้เป็นการลงทุน
ไม่ใช่ ค่าใช้จ่าย ในชีวิตประจำวัน ที่หายไป กับกาลเวลา…
เปิดร้านขายยา อยากเพิ่มยอดขาย ทำการตลาดออนไลน์ ยังไงดี
เมื่อไม่นานมานี้ ได้คุยกับรุ่นน้องคนหนึ่งครับ
เปิดร้านขายยา อยู่ที่ต่างจังหวัด
แต่อยากจะขยายตลาดออกไป ให้กว้างมากกว่าเดิม
จะทำยังไงดี
จะขายยาผ่านออนไลน์ ก็ไม่สามารถทำได้
เพราะ ผิดกฏหมาย ทำไป ก็มีแต่ผลเสียมากกว่าผลดี
ดังนั้น ทางออกก็คือ ทำยังไง ให้คนรู้จักร้านของเรามากขึ้น
การตลาดออนไลน์ ที่เหมาะกับร้านขายยา ก็คือ การทำให้ร้านเราเป็นที่รู้จัก
ซึ่งลูกค้ามีสองแบบ นั่นคือ ลูกค้าเก่า กับ ลูกค้าใหม่
ลูกค้าเก่า
คือคนที่รู้จักเราอยู่แล้ว คนที่เคยซื้อยาของเรา มีความเชื่อใจ และกลับมาซื้อบ่อยๆ ได้ การสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ ที่เร็วที่สุด ก็คือ LINE OA บางคน อาจจะบอกว่า ใช้ไลน์ปกติ แอดกันก็ได้นิ ไม่เห็นต้องไปสร้าง LINE OA ให้ยุ่งยาก
ไม่มีปัญหานะครับ แต่ในระยะยาว การใช้ LINE ปกติ หรือ LINE Profile มาทำงาน ก็เหมือนเราเอา ชีวิตส่วนตัว ไปพัวพันกับเรื่องงาน ตลอดเวลา เวลาจะตอบ ก็ต้องตอบเองตลอด ไม่มีใครมาช่วยตอบ
ลูกค้าเวลาทักมา ไม่ได้ดูเวลาหรอกนะครับ ว่าจะทักมาตอนไหน เพราะมีความต้องการเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
แต่สำหรับ LINE OA เราสามารถช่วยกันตอบคำถามลูกค้า ได้มากกว่า 1 คนอยู่แล้ว
คนนี้ไม่ว่าง ก็ให้อีกคนช่วยตอบ หรือ ถ้านอกเหนือเวลาทำงาน เรายังตั้งเวลา ให้ระบบ บอกลูกค้าว่า ตอนนี้ปิดทำการ ให้ฝากคำถามเอาไว้ได้ ทำให้ไม่พลาด เรื่องการสื่อสารกับลูกค้าอย่างแน่นอน
หรือถ้าใครถนัดทางเฟสบุ๊ค ก็สามารถทำได้ สร้างเพจขึ้นมาเลย เพื่อบอกว่า ร้านเราทำอะไร โพสต์ เรื่องราวที่คนทั่วไป ควรรู้ ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับยา การให้ความรู้เกี่ยวกับหน้ากากอนามัย สารพัดเรื่องที่จะเล่า
รวมทั้งการตอบคำถามทาง inbox เพื่อให้ลูกค้า ได้สอบถาม ก่อนจะมาซื้อที่ร้าน ปรึกษาเบื้องต้น หรือ ยาหมด ยาไม่หมด ก็ให้คำตอบลูกค้าไปก่อน เพื่อไม่ให้เสียเวลา
ลูกค้าใหม่
สำหรับคนทั่วไป ที่มองหาร้านขายยา ส่วนใหญ่ มักจะหาร้านที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ เพราะมีความเร่งด่วน จำเป็นต้องซื้อ ส่วนใหญ่จะเข้า Google แล้วพิมพ์ด้วยคำว่า ร้านยา ตามด้วยพื้นที่ เช่น ร้านยา ลาดพร้าว ร้านยา ห้วยขวาง
ซึ่งผลลัพธ์ที่ขึ้นมาในหน้า Google ส่วนใหญ่จะมีทั้งบทความ เว็บไซต์ รวมไปถึง เฟสบุ๊คด้วย
แต่ผลการค้นหาที่ขึ้นมาโดดเด่นและชัดเจนสุดๆ ยิ่งกว่าบรรดาลิงค์ต่างๆ นั้นก็คือ ผลการค้นหาใน Google Maps นั่นเอง ซึ่งหากธุรกิจไหนเอาตัวเองไปอยู่ในแผนที่ Google และติดอยู่ในอันดับบนๆ โอกาสที่ลูกค้าใหม่ๆ ที่กำลังหาร้านขายยา ก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย
เราเรียกกันว่า Google My Business นั่นเอง
ซึ่งเทคนิคที่จะทำให้หมุด พิกัดร้านของเรา ค้นหาได้ง่าย นั่นคือ คำค้นหา นั่นเอง
แต่การจะปรับปรุงชื่อธุรกิจใน Google My business ได้นั้น เจ้าของกิจการจะต้องทำการ ยืนยันตัวตนเสียก่อน หรือ การ verify นั่นเอง (ตอนนี้ จะยังไม่ลงรายละเอียดนะครับ)
มองเป็นไอเดีย สำหรับเจ้าของธุรกิจนะครับ
อย่าเพิ่งยึดติดกับ เครื่องมือจนมากเกินไป
แต่ให้มองว่า เราจะไปเจอ ลูกค้าแต่ละแบบของเรา ได้อย่างไร
แล้วเอาตัวเอง ไปอยู่ที่จุดนั้น
เครื่องมือทางการตลาดจึงค่อยตามมาภายหลังครับ
เพราะการตลาดออนไลน์ ไม่ได้มีแค่เฟสบุ๊คอย่างเดียว 😉
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เพิ่มยอดขายร้านอาหาร 3 เท่า แบบไม่ยิงแอด ทำได้แบบนี้
ยุคนี้ ธุรกิจกับการทำโฆษณา ทำการตลาด ถือเป็นเรื่องปกติ ไปแล้ว
การทำโฆษณา มันไม่ใช่ค่าจ่าย แต่คือการลงทุน
เพราะทุกครั้งที่จ่ายไป เราจะได้กลับคืนมา
ไม่ใช่ยอดขาย ก็คือ การรู้จัก
แต่วันนี้ สิ่งที่จะมาแนะนำ คือ อีกหนึ่งวิธี ที่ทำให้เราเพิ่มยอดขาย ด้วยการทำให้ลูกค้าใหม่ๆ มาเจอเรา
แม้ไม่ได้ยิงแอด ทำโฆษณาเลยก็ตาม
วิธีนี้ เป็นวิธีที่ผมใช้ได้ผลมาแล้วกับร้านเค้ก ที่ผมช่วยทำการตลาดให้
ทำให้ได้ลูกค้าใหม่ๆเข้ามาที่ร้านอยู่เสมอ หรือ สั่งเค้กแบบ Delivery เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม! 2 เท่า
อยากรู้ใช่มั้ยครับ
มา มาเลย รับรองว่า คุ้มค่าน่าทำแน่นอน
1. wongnai
นี่คือ application ที่คนไทย ใช้หาข้าวกินเสมอ การที่มีข้อมูลใน wongnai เพิ่มโอกาส ให้ลูกค้าใหม่ๆ ที่มองหาร้านอาหาร มาเจอเราได้ง่ายๆ
ข้อมูลร้านอาหาร นั้น User ใน wongnai มีสิทธิ์เพิ่มเข้าไปได้ทุกคน แต่สำหรับร้านอาหารที่ต้องการเอาจริงเรื่องนี้ แนะนำ ให้ไปอ้างสิทธิ์ เพื่อเข้าไปจัดการ ข้อมูลภายในร้านด้วยตัวเอง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ ในการดูแลเรื่อง คนรีวิว เมนูอาหาร รวมทั้งการทำ Delivery กับ line man ในลำดับต่อไป
รวมทั้งเราสามารถจะ ติดต่อ บรรดาคนดังใน app wongnai ที่เรียกว่า wongni elite มารีวิวร้านของเราได้ (แล้วแต่เทคนิคในการติดต่อ)
ที่สำคัญ search ติดอันดับง่ายๆ ใน google มากที่สุด
2. Google my Business
อันนี้คือของฟรี ที่ถือว่าคลาสสิกที่สุด เพราะว่าคนไทย เน้นการหาร้านอาหารใหม่ ด้วยการ search อยู่เสมอ
ที่สำคัญ คนคนหาร้านอาหารจาก Google Maps ดังนั้น ถ้าเรามีข้อมูลในนี้ คนจะตามมาที่ร้านได้ง่ายมาก
การเพิ่มข้อมูลลงใน Maps ของ Google หรือที่เราเรียกง่ายๆว่าการปักหมุด สามารถทำได้ทุกคน แต่สิ่งที่เจ้าของร้านอาหารควรจะทำ นั่นคือการยืนยันธุรกิจบน Google Map
ผมจะไม่ลงรายละเอียดการยืนยันธุรกิจแต่ขอบอกว่า ถ้ายืนยันแล้ว
คุณจะสามารถจัดการ ชื่อร้าน ได้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะหาลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเจอเรา ด้วย keyword ง่ายๆ เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านเค้ก ร้านกาแฟ แล้วตามด้วย ชื่อสถานที่ ที่ร้านเราตั้งอยู่
เท่านี้ ก็หาคนใหม่ๆ มาเข้าร้านได้แล้ว
3. TripAdvisor
สำหรับคนไทย มักจะใช้ google กับ wognnai ในการหาร้านอาหารอยู่เป็นประจำ แต่สำหรับคนต่างประเทศบางส่วน จะนิยมใช้ tripadvisor ในการหาร้านอาหารใหม่ๆ
เพราะเชื่อรีวิว ที่พูดถึงร้าน เนื่องจากเป็นนักท่องเที่ยวด้วยกันเอง จึงให้ความเชื่อใจมากกว่า
เจ้าของร้าน สามารถสร้างหมุดได้เอง และยืนยันการเป็นเจ้าของธุรกิจได้ง่ายๆ ด้วยเบอร์โทรศัพท์ของร้าน
รีบทำเลยครับ เพราะว่าร้านไหน ได้ดาวเยอะ คนรีวิวเยอะ ต่างชาติ จะตามมากินกันเพียบ
4. Food Delivery Application
วิธีนี้ เป็นวิธีที่แตกต่างไปจาก สามแบบก่อนหน้า แต่ว่า เหมาะสำหรับคนที่อยากเพิ่มยอดขาย ด้วยการแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างในเชิงธุรกิจ
นั่นคือการลงข้อมูล เป็นพันธมิตรกับ Food Delivery application เอาง่ายๆ เลยก็ประเภท line man / food panda / get / grabfood
เงื่อนไขค่า commission ในแต่ละที่นั้น จะแตกต่างกันไป แต่ข้อดีของการเป็น Partner หรือพันธมิตร ก็คือ สามารถร่วมโปรโมชั่น ค่าส่งถูกชนิดที่ คนกิน กดออเดอร์แบบไม่ต้องคิด
เจ้าของร้านบางคน อาจจะมองว่า โดนหักส่วนแบ่ง แล้วจะดียังไง
ให้คิดแบบนี้ครับ ถ้าคนได้ลองกินอาหารของร้านเราแล้ว เขาชอบ เขาติดใจ ก็จะสั่งอีก แม้ไม่ต้องเดินทางมาที่ร้าน ก็กินอาหารของเราได้ กำไรอาจจะน้อยลงไป แต่ได้คนรู้จักเรามากขึ้น
จะรอแต่คนมากินที่ร้าน ก็อาจจะ ไม่ไหวแล้ว เพราะยุคนี้
นอกจาก ที่จอดรถ การเดินทาง เรื่องฝุ่น หรือเรื่อง ไข้หวัด ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ไม่กล้าออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านสักเท่าไร
ลองพิจารณากันนะครับ
แถมท้ายให้นิดๆ แล้วการวัดผลล่ะ?
วิธีการตรวจสอบว่า ลูกค้าใหม่เข้าร้านได้บ่อยแค่ไหน
มันง่ายมากเลยครับ
ใครที่ถามว่า ห้องน้ำไปทางไหน อันนั้นแหละคือลูกค้าใหม๋
เพราะว่า ถ้าขาประจำ เขาไม่ถามแล้ว รู้ทางไปอยู่แล้ว!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
จะหนีเฟสบุ๊ค แล้วไป โฆษณาใน LINE ต่างกันมากแค่ไหนมาดูกัน
จะหนีเฟสบุ๊ค แล้วไป โฆษณาใน LINE ต่างกันมากแค่ไหนมาดูกัน
.
หลังจากที่ LINE ได้ออกมาประกาศว่า
จะเปิดให้ User ที่ใช้ LINE OA ได้ลงโฆษณา ได้ด้วยตัวเอง
ทำให้หลายคน ตื่นตัว และอยากรู้ว่า ทำงานอย่างไร
.
ล่าสุด มีข้อมูล Update รายละเอียดการโฆษณาผ่าน LINE ที่มากขึ้นกว่าเดิม
จาก LINE Business โดยตรงจากลิงค์นี้
ทำความรู้จัก LINE Ads Platform และ 4 เหตุผลที่ต้องใช้ถ้าอยากให้ธุรกิจโต
.
ผมเลยขอกล่าวถึงโฆษณาของ LINE ที่เราจะมาทำโฆษณาได้เอง รวมทั้งเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกับการโฆษณาในเฟสบุ๊คที่เราคุ้นเคยกันมาก่อนหน้า
ดังนี้ครับ
.
จะมีคนเห็นโฆษณา มากน้อยแค่ไหน?
คนเข้าใช้งาน LINE นอกจากการแชท
ก็มักจะอ่านบทความใน LINE TODAY เสมอ ซึ่งมียอดวิวที่ 2500 ล้านต่อเดือน ถ้าเทียบกับคนใช้งาน LINE 44 ล้านคน ก็เท่ากับ เข้ามาดูคนละ 56 วิวต่อเดือนเลยนะครับ
.
ตำแหน่งโฆษณา ในไลน์อยู่ตรงไหน?
.
เรามาดูกันก่อนว่า ตำแหน่งโฆษณาของ LINE นั้นอยู่ตรงไหนบ้าง
.
1. Timeline : อยู่ในหน้า timeline ถ้าเปรียบไป ก็เหมือน newsfeed ของ เฟสบุ๊คเลยครับ ซึ่งคนใช้ไลน์ ก็มักจะโฆษณากันตรงนี้เป็นประจำอยู่แล้ว
2. Article page end0 / Article page end1 / Article page end2 อยู่ด้านท้ายของบทความ เป็นหลักเลยครับ ถ้าในเฟสบุ๊ค เราจะเห็นลักษณะของโฆษณาแบบนี้ อยู่ใน instant article บ่อยๆ
3. Top Page Top2 / Top Page Top3 : อยู่ด้านบนของบทความใน LINE เป็นหลัก
วัตุประสงค์ในไลน์ มีเหมือนเฟสบุ๊คมั้ย
เฟสบุ๊ค มี 11 objective
.
– Awareness สร้างการรับรู้
> Brand awareness
> Reach
.
– Consideration การตัดสินใจ
> traffic
> engagement
> app install
> video view
> lead generatio
> message
.
– Conversion การลงโฆษณาเพื่อสร้างผลลัพธ์ชัดเจน
> Conversions
> catalog sales
> store traffic
.
สำหรับ LINE Ads platform มี 4 objective โดยแบ่งออกเป็น
1. การรับรู้แบรนด์ และ Awareness
แบ่งออกเป็นเรื่องของ
1.1.การเข้าถึง และ ความถี่ : เราสามารถเลือกให้แต่ละคน เห็นโฆษณาของเราได้มากน้อย แค่ไหน เลือกความถี่ได้ตามความต้องการ ถ้ามากเกินไป ก็ไม่ดีนะ ขนาดเรายังเบื่อเลยที่เห็นโฆษณาอัดๆๆถี่ๆๆ
.
ซึ่งเทียบได้กับ Reach ใน เฟสบุ๊คนั่นเอง
.
1.2.การเยี่ยมชมเว็บไซต์ : เหมาะสำหรับการให้คนคลิกเข้าไปดูรายละเอียด ข้อมูลของสินค้า หรือบริการที่เรามีอยู่ ซึ่งหากเว็บไซต์ของเรานั้น มีการเก็บ pixel และ google analytics ก็จะเป็นข้อดีเข้าไปอีก เพราะสามารถเก็บฐานข้อมูลของคนจาก platform ไลน์ ไปใช้งานเพิ่มได้อีก
.
เทียบได้กับ Traffic หรือการเยี่ยมชม ในเฟสบุ๊ค นั่นเอง
.
2. เพิ่มฐานลูกค้า
มีสองแบบ นั่นคือ
.
2.1 เพิ่มคนใน LINE OA ของเราให้มากขึ้น เพื่อเอาไว้ ส่งข้อมูลโปรโมชั่นต่างๆ ได้ในภายหลัง
.
เทียบได้กับ engagement แบบเพิ่มคนติดตาม ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
2.2 ให้คนดาวน์โหลด application : อันนี้ เหมาะสำหรับคนที่มี application แล้วอยากเพิ่ม member ตอนนี้ ไลน์เปิดโอกาส ให้คุณในช่องนี้แล้วจ้า
.
เทียบได้กับ App installation ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
3. เพิ่มยอดขาย
มีสองแบบ คือ
3.1 ซื้อของ (website conversion) : ตัวนี้ จะต่างจากการเข้าชมเว็บไซต์ ตรงที่ เราสามารถเก็บข้อมูล คนที่เคยคลิก หรือเคยซื้อ ผ่าน platform LINE เพื่อไปทำการ Retarget ได้อีกครั้ง (เออ อันนี้น่าสนใจ)
.
เทียบได้กับ Conversion ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
3.2 ใช้งาน application : ปกติคนใช้งาน application ถ้าโหลดมาแล้ว บางครั้ง อาจจะไม่ค่อยได้ใช้งาน การโฆษณาไปเด้งเตือนให้ User กลับมาใช้งาน ใน platform ที่เขาคุ้นเคย จึงเป็นอีกทางหนึ่ง ที่จะช่วยได้
.
เทียบได้กับ การทำ Retargeting ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
.
4. รักษาฐานลูกค้าเดิม
ทางไลน์ใช้กระบวนที่เรียกว่า การนำเสนอสินค้าแบบไดนามิก : เป็นการแสดงสินค้าเฉพาะบุคคล คือ personalization มากขึ้น ไม่ใช่โฆษณาแบบหว่าน ซึ่งจะเพิ่มโอกาส ให้คนซื้อสินค้านั้นๆ เพิ่มขึ้นไปมากกว่าเดิม
.
เทียบได้กับ การทำ Retargeting ในเฟสบุ๊คนั่นเอง
กลุ่มเป้าหมาย ในไลน์มีกี่แบบ
การกำหนดกลุ่มเป้าหมายใน LINE สามารถแบ่งได้ตาม
– อายุ
– เพศ
– พื้นที่
– OS เลือกได้ว่าจะเป็น iOS หรือ Android
– ความสนใจ อาทิ แฟชั่น ความงาม บันเทิง ท่องเที่ยว ธุรกิจ การเงิน (คาดว่าน่าจะมาจากการคลิกดูข้อมูล ของคนที่ใช้ไลน์)
.
Custom audience
นอกจาก กลุ่มเป้าหมายแบบปกติ ที่ดูจากพฤติกรรมแล้ว ทางไลน์ ยังพัฒนาให้เราสามารถ โฆษณาโดยทำ custom audience ได้ด้วย ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราต้องสร้างขึ้นมาเอง จากการเข้ามาใช้งานใน LINE OA เว็บไซต์ หรือ applicaton (หากใครเคยทำ custom audience ในเฟสบุ๊คมาก่อน น่าจะเข้าใจไม่ยาก)
.
ที่สำคัญ custom audience สามารถนำมาสร้าง เป็น Look a like audience ได้ด้วย (ใครเคยทำในเฟสบุ๊ค มาก่อน ถือว่าได้เปรียบ)
รูปแบบการซื้อ โฆษณาในไลน์ คิดราคายังไง
การซื้อโฆษณาในเฟสบุ๊ค ส่วนใหญ่ เราจะคุ้มชินกับหน่วยของ CPM เป็นหลัก นั่นคือ คนเห็น 1000 ครั้ง เสียเงินกี่บาท (จริงๆ มีแบ่งเยอะกว่านั้น เช่น cost per engagement / cost per click / cost per like หรือ cost per conversion เป็นต้น)
.
สำหรับ LINE นั้น การซื้อโฆษณา มีให้เลือกสามแบบ นั่นคือ
1. การเห็น นับเป็น CPM (Cost per 1,000 impression จริงๆ คำว่า M ย่อมาจาก Mille ที่แปลว่า 1,000 ในภาษาละติน)
2. การคลิก นับเป็น CPC (Cost per click)
3. การเพิ่มเพื่อน นับเป็น CPF (cost per friends)
.
สรุป
ข้อดี
– สำหรับคนที่ใช้ LINE ในการสร้างยอดขายอยู่แล้ว ก็จะลดขั้นตอนการติดต่อผ่าน เอเจนซี่
– เป็นทางเลือกใหม่ สำหรับคนที่ใช้งาน เฟสบุ๊คมาเป็นเวลานาน แล้วอยากลอง platform อื่นๆบ้าง
สิ่งที่ยังไม่รู้แน่ชัด
– ราคาในการสร้าง campaign จะถูก หรือ แพง ยังไม่มีใครทราบ แต่หากราคาออกมาแพง ก็จะเป็นการคัดให้เหลือผู้เล่นที่จำเป็นต้องใช้เงินโฆษณา เพื่อสร้างยอดขายน้อยลง (อันนี้ คาดเดาจาก ตอนที่ขายผ่าน เอเจนซี่ แล้วเริ่มต้นที่หลักหมื่นต่อเดือน)
– กฏระเบียบต่างๆ จะมีมากเท่าเฟสบุ๊คมั้ย ยังไม่มีระบุออกมา แต่อย่างน้อย การควบคุมคุณภาพ ให้ผ่านเกณฑ์ คือเรื่องสำคัญ ที่ไลน์ต้องกำหนด
– ซื้อได้มากน้อยแค่ไหน มีลิมิตหรือเปล่า อันนี้ยังไม่ได้ระบุ
– โฆษณาจะกระจายไปยังต่างประเทศ หรือ ประเทศเพื่อนบ้านด้วยหรือไม่ อันนี้ ยังไม่มีระบุออกมา เพราะเท่าที่มีข้อมูล ตอนนี้ คนลาว ใช้ whatsapp มากกว่า LINE (แต่สำหรับอนาคต นั้นยังไม่แน่)
.
หากมีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้
ทางผมจะนำเสนอให้ทราบกันในลำดับต่อไปนะครับ 😉
.
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
Update ข้อมูล DIGITAL 2020: THAILAND มาแล้วจ้า
Update ข้อมูล DIGITAL 2020: THAILAND มาแล้วจ้า
.
ขอสรุปประเด็นที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการใช้งาน internet ในบ้านเรา ประจำรอบ JAN 2020
ซึ่งเป็นเก็บรวบรวมข้อมูล ล่าสุดมาให้อ่านกัน
.
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นตัวที่ทำให้เรา ได้ตัดสินใจ หรือ คิดวางแผนได้ล่วงหน้าว่า
จะต้องปรับตัวอย่างไร ให้ทันกับพฤติกรรมของผู้ใช้งาน internet จริงๆ
ข้อมูลบางอย่าง อาจจะเหมือนเดิม
ข้อมูลบางอย่าง อาจจะทำให้แปลกใจ
.
เอาล่ะ
จะเป็นอย่างไรนั้น อย่ารอช้า มาดูกันเลย
.
ข้อมูลโดยรวม!
คนไทยทั้งหมด 69.71 ล้านคน มีมือถือทั้งหมด 93.39 ล้านคน ใช้ internet 52 ล้านคน
.
คนไทยใช้สมาร์ทโฟนแทบจะ 100% ไปแล้ว
.
เวลาทั้งหมดของการใช้ internet ของคนไทย หมดไปกับการดู หนัง แชท และ ฟังเพลง ชอบความบันเทิงไง!!
.
ความเร็วเฉลี่ย internet มือถือเร็วขึ้น 48% ส่วน internet บ้านเพิ่มขึ้น 117% (สำรวจจากคนส่วนใหญ่ ใครเน็ทช้า ลองเช็คว่าเราใช้ pakage ไหนด้วยนะ)
.
สมัยก่อนเราเข้าใจว่า traffic เข้าเว็บมาจากมือถือ แต่ตอนนี้ต้องบอกว่า มาจาก computer มากกว่า (อันนี้เปลี่ยนความคิดคนทำเว็บไปพอสมควร)
.
เว็บยอดนิยม ยังเป็น google เฟสบุ๊คและ youtube แต่เว็บโป๊ก็ยังติดอันดับ 9 ที่คนดูเยอะสุด ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 16 นาทีต่อครั้ง! (อืม…)
.
คำค้นหาของคนไทย ยังวนเวียน กับเรื่อง บอล หวย หนัง เหมือนเดิม (คลาสสิกสุดๆ)
.
กิจกรรมยอดนิยมของคนไทยก็ยังเป็นการดูคลิป ดู VLOG แต่ที่น่าสนใจคือการฟัง podcast ที่ติดอันดับมาด้วย!
.
คนไทยใช้ voice search เพิ่มขึ้น จ่ายเงินรายเดือนเพื่อดูหนังเพิ่มมากขึ้น (netflix เป็นต้น)
.
การใช้ social media ของคนไทย อยู่ที่ช่วงวัย 25-34 มากที่สุด รองลงมาคือ 18-24
.
ที่ผ่านมา social media น้องใหม่อย่าง tiktok มาแรงมากๆ รองจาก twitter และ instagram ใครอยากหาตลาดใหม่ ที่เป็นกลุ่มวัยรุ่น ต้องไปศึกษา (ไปสร้างให้คนพูดถึงแบรนด์ แต่จะมี account หรือไม่มีก็ได้ ถ้านึกไม่ออก ให้ดูการตลาดของเพลง วิบวับ ที่ดังมาจาก วิบวับชาเลนจ์)
.
instagram คืออาณาจักรของสาวน้อย เพราะมีผู้หญิงใช้งาน 63% จากทั้งหมด 12 ล้านคน
.
twitter คืออาณาจักรของสาวน้อยยิ่งกว่า instagram เพราะมีผู้หญิงใช้งานมากถึง 78% จาก 6.55 ล้านคน (พฤติกรรมส่วนใหญ่ คือ การติดตามข่าวสารที่ไวมากๆ ส่วนวิธีการพูด การสื่อสาร จะต้องเป็นกันเอง ไม่ต้องเยิ่นเย้อ เพราะคำพูดที่เขียนได้มีจำกัด แค่ 280 ตัวอักษร และใส่ภาพได้สูงสุด 4 ภาพ)
.
llinkedin มีคนใช้งาน 2.7 ล้านคน แต่ส่วนใหญ่ เป็นผู้ชายใช้งานมากกว่า (วัยทำงานด้วย)
.
คนซื้ออะไรในออนไลน์
มากที่สุดคือ ท่องเที่ยว 6.12 พันล้าน USD เสื้อผ้า 1.03 พันล้านเหรียญ USD แต่ที่น่าสนใจ คือตลาดเกมส์ 227 ล้านเหรียญ USD
.
ธุรกิจอะไรเติบโตก้าวกระโดดในอีคอมเมิร์ซ บ้านเรา
ธุรกิจอาหาร และ การดูแลสุขภาพ มาเป็นอันดับ 1 22% รองลงมาคือ ของเล่น งาน DIY โต 19% ส่วนเสื้อผ้า และ เฟอร์มาไล่ๆกัน
.
ลูกค้าเจอแบรนด์ใหม่ๆ ผ่านช่องทางไหน?
ที่น่าสนใจก็คือ ลูกค้าไปหาเจอใน search engine ถึง 41% คาดว่าน่าจะมาจาก Google Maps ใครอยากเพิ่มลูกค้าหน้าใหม่ๆ ให้ไปเรียนรู้เรื่อง google my business ครับ รองลงมายังเป็นทีวีนะจ๊ะ
.
ทั้งหมดนี้ คือสรุป การใช้งาน Thailand internet 2020 ที่สรุปมาจาก weare social และ hoot suit ซึ่งจะทำออกมาเป็นประจำ
.
ถือเป็นข้อมูลเพื่อนำมาใช้งานกันนะครับ
แต่หน้างานจริงๆ ก็ให้ยึดจากข้อมูล ที่เราเจอจริงๆ
อาจจะแตกต่างไปจากที่เขาสรุปมาให้ก็ได้
.
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ 😉
ที่มาของข้อมูล
https://datareportal.com/reports/digital-2020-thailand
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
คัมภีร์ 7 วิถี สู้ปัญหา เฟสบุ๊ค ลด Reach
เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่า Social Media ที่คนไทยใช้กันมากที่สุด
คือ Facebook
แต่ทุกๆปี Facebook จะทำการลดสปีดหรือการเข้าถึงให้น้อยลงไปเรื่อยๆ
จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่
เมื่อเราอยู่บ้านหลังนี้เขาวางกฏเอาไว้อย่างไร
เราก็คงต้องปฏิบัติตาม
ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า Facebook จะลดการเข้าถึง ให้น้อยลงไปอีก
ผมเลยขออาสาเขียนวิธี 7 วิธีสู้ปัญหา Facebook ลด Reach
มาให้ทุกคนได้ไปปรับใช้กับเพจ Facebook ของตัวเอง
1.เลี่ยง keyword ที่ขาย เพราะ Facebook รู้ว่าเรากำลังขาย
โดยปกติแล้วถ้ามีคำพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับการขายของ Facebook จะมองว่านี่คือโฆษณา ล่าสุดลามมาถึงระดับ Facebook ส่วนตัว หากเขียนคำว่าขายหรือราคา จะมีปุ่มให้กดทักแชทขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ถ้าไม่อยากให้โพสต์คุณ เป็นการขายของ ให้ลด หรือ งด คำว่าราคา ขาย เช่า ไปบ้าง
(แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็เขียนเป็นไปเถอะครับ)
2.งด การทำ Before After แม้จะไม่ได้โฆษณา
หากใครเป็นสายสุขภาพสกินแคร์ สิ่งที่พยายามจะเลี่ยงก็คือเรื่องของ Before After บางคนเลี่ยงมีโฆษณา แต่ว่าโพสต์ตามปกติแทน แล้วคิดว่ามันไม่ผิด
แต่อันที่จริงแล้ว Facebook เขามองทั้งหมดแหละครับ ทั้งแบบโฆษณาและไม่โฆษณา ถ้าใครยังทำอยู่ Facebook มองว่านี่คือ Landing Page ที่สร้างประสบการณ์ไม่ดี
3.ใช้สูตร content 80/15/5
เรื่องนี้ ผมขอเขียนสั้นๆ นะครับ เพราะใครอยากอ่านละเอียด ผมขอส่ง link ให้ไปอ่านต่อครับ
80 = การเขียน content ให้คุณค่า
15 = การโชว์ผลงาน testimonial ต่างๆ
5 = การขายแบบไม่ขาย
ไปอ่านได้เลยครับ >> https://www.digitalnook.co/388/
4. งดการ capture chat inbox มาโพสต์
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ facebook เข้มข้นมากๆ เหตุผลไม่เกี่ยวกับเรื่องของ privacy แต่เป็นเรื่องของการอ้างอิง platform ของ Facebook มาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ถ้าใครอยากรู้เพิ่มเติมไปที่บทความนี่เลยครับ
https://www.digitalnook.co/369/
5.เพิ่มคนคุณภาพ เข้ามาในเพจ ด้วย content คุณภาพ
ฐานแฟนที่มีคุณภาพ คือ asset หรือสินทรัพย์ ที่คุณต้องระลึกถึงเสมอ เพราะเราไม่สามารถจะโฆษณาได้อยู่ตลอดเวลา และอีกหน่อยการโฆษณาก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ
การหาคนคุณภาพเข้ามาอยู่เป็นฐานแฟน คือสิ่งที่ต้องทำ
อยากรู้ว่าทำอย่างไร แนะนำให้ดูคลิปนี้นะครับ
>> https://www.digitalnook.co/522/
6. เปลี่ยนรูปแบบของโพสต์บ้าง อย่าทำรูปแบบเดิมๆ โดยเฉพาะ Live
การโพสรูปแบบเดิมๆซ้ำๆบ่อยๆ Facebook จะไม่ชอบ โดยเฉพาะการออกมาไลฟ์ ถ้าคุณทำถี่เกินไป คุณจะโดน Facebook ปรับการมองเห็นให้ลดลงแบบสุดๆ
บางคนถึงขั้นกับขึ้นป้ายสีแดงที่หน้าเพจ ซึ่งทำให้โพสต์อะไรคนก็จะไม่เห็น
ทางแก้อย่างเดียวก็คือ กด appeal แจ้งเหตุผลไปแจ้ง facebook ว่า ทำไมเพจเราถึงไม่ควรโดนปิดกั้นการมองเห็น
แย่น้อยที่สุด คือ โดนปิดการมองเห็นไว้ 7 วัน แต่ถ้าแย่มากๆ อาจจะไม่กลับมาเลย ก็เป็นได้
(ขอบอกว่า การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ Facebook ขอให้คุยแบบภาษาธุรกิจนะครับอย่าไปเหวี่ยงใส่!!)
7. 5 โพสต์ที่ได้รับ Reach สูงสุดในเพจของคุณ คือแนวทางที่คุณต้องทำ
หลายคนพยายามนำเสนอสิ่งที่เราอยากจะบอก อยากจะเล่า แต่บางครั้งอาจจะไม่ถูกจริตคนติดตามเพจ ดังนั้น ให้ดูจากข้อมูล 5 โพสต์ในเพจของคุณที่ได้รับยอด Reach สูงๆ
ดูว่าคนชอบ Content เหล่านั้นเพราะอะไร ให้นำเอาแนวทางนั้นมาพัฒนาต่อ
นี่คือสิ่งที่คุณต้องทำ
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนฝ่าฟันและอยู่ร่วมกับ Facebook อย่างมีความสุขในปี 2020
และในปีต่อไปตราบใดที่ยังมี Facebook ใช้งานกันอยู่
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
เทคนิคเพิ่มคนไลค์เพจให้เยอะ แบบขายของได้ เขาทำแบบนี้
สมัยนี้ การเปิดเพจขายของใหม่ๆ
เรื่องที่เจ้าของธุรกิจ มักจะคิดก่อนเป็นลำดับต้นๆ ก็คือ
จะหาคนมาตามเพจเยอะๆ ได้ยังไง
.
จึงมักจะไปเปิดหาทางแก้ไข ในเพจหรือ Google
จนไปพบบริการเพิ่มคนติดตามเพจ หรือหนักๆ เลย ก็คือปั๊มเพจ
.
ถามว่าได้คนจริงมั้ย ได้นะ แต่ใครก็ไม่รู้
.
ถ้ามองหาวิธีการเพิ่มคนติดตามแบบมีคุณภาพ
และตามมาซื้อของ ซื้อบริการของเราจริงๆ
.
จัดเลยกับสิ่งนี้!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
รวมข้อผิดพลาด การยิงแอดเฟสบุ๊ค ที่ทำให้ขาดทุน
สำหรับคนที่ทำธุรกิจออนไลน์แล้ว
การสร้างกำไร เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ซึ่งการจะสร้างกำไรให้เกิดกับธุรกิจของตัวเองได้นั้น
การทำโฆษณา โดยเฉพาะโฆษณาเฟสบุ๊คนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญ
หรือจะเรียกกันสั้นๆ ว่ายิงแอด ก็ได้
แต่ส่วนใหญ่ ปัญหาที่เรามักจะพบเจอในกลุ่มนักยิงแอดมือใหม่ ก็คือ
ยิงแอดแล้วขาดทุน ยิงแอดแล้วไม่ได้กำไร
หรือบางครั้ง ก็บอกว่า ยิงแอดมั่ว
จากการสำรวจ และประสบการณ์จริง ที่ได้ทำการยิงแอดมา
ผมขอแชร์ข้อผิดพลาด ที่มักจะเจอบ่อยๆ ในการยิงแอด
ซึ่งนำพาไปสู่การขาดทุน ได้ง่ายๆ
จะเป็นอะไรบ้าง มาดูกันเลยครับ
1. ไม่ได้ทดสอบกลุ่มเป้าหมาย
เอะอะ ก็กดปุ่ม Boost post เลยทันที ไม่ได้เลือก ไม่ได้คิดว่า คนเหล่านั้น เป็นกลุ่มคนที่ต้องการสินค้า หรือบริการของเราจริงๆ หรือเปล่า อันนี้ ถือเป็นเรื่องพลาดขั้นแรกเลยครับ
และส่วนใหญ่มือใหม่ ชอบกด boost post หาคนไทยทั้งประเทศ โดยไม่ใส่ความสนใจเลย
อันนี้ถือว่า ต้องลองคิดใหม่นะครับ
เครื่องมือที่ใช้เช็คหากลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น ที่ควรใช้คือ Audience Insight และ เครื่องมือที่เรียกว่า Precise Maganetic (ฟรีนะครับ ไปหาโหลด chrome extension ได้)
2.ไม่ได้ทดสอบ content ที่จะนำมาโฆษณา
การทำโฆษณาบนเฟสบุ๊ค ต้องใช้ศิลปะการถ่ายทอด การขยี้ การทำให้คนสนใจแบบสุดๆ ถ้าเราไม่ได้ทดสอบว่า Content แบบไหนที่คนชอบมาก่อน โอกาสเกิด ก็ยาก ค่าโฆษณาก็พุ่งปรี๊ดๆ แน่นอน
วิธีการทดสอบ Content ที่ง่ายที่สุด คือ ทำมาหลายๆ แล้วโพสต์ในเพจแบบปกติ ไม่ต้องจ่ายเงิน อันไหนที่ได้รับการมองเห็น การเข้าถึงเยอะ คนชอบกดไลค์ กดแชร์เยอะๆ ให้เอา content นั้นมาทำโฆษณา
3.ไม่ได้ปรับปรุงเนื้อหา content
บางครั้ง เราใช้โฆษณาอันเดิม แบบเดิม ก็คิดว่ามัน สุดยอดแล้ว แต่จริงๆ content ไหนที่เราเห็นบ่อยๆ ก็อาจจะเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาได้
ดังนั้นการลองปรับปรุงเนื้อหา จะทำให้เจอผลลัพธ์ใหม่ๆ ที่ดีขึ้นเสมอ
4.ความอดทนในการทดสอบตัวโฆษณา
สำหรับมือใหม่ บางคน เห็นว่าแอดกินเงินไปแล้ว แต่ไม่มีใครทัก หรือ ไม่เกิดยอดขายเลย ก็ปิดไปซะแล้ว บางคนเปิดมา 2 ชั่วโมง ไม่เห็นยอดขาย ก็ปิด
ทางที่ดี คุณต้องปล่อยให้โฆษณาตัวนั้นวิ่งไปก่อน 7 วัน เพราะว่า ในแต่ละวัน การตอบรับของโฆษณานั้นจะแตกต่างกันไป ให้เวลาโฆษณาทำงานนิดนึง ก่อนนะครับ แล้วค่อยตัดสินใจปิด
5.ไม่ได้ตรวจเช็คการตั้งค่า ก่อนปล่อยแอด
บางครั้งตอนที่เราทำโฆษณา เราอาจจะใจร้อน รีบลงมือทำ พอเห็นว่าตั้งค่าอะไรเสร็จแล้ว ก็ปิดหน้าจอไป ไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องเสียก่อน
ผลเสียที่ตามมาก็คือ บางครั้ง เราตั้งค่าการจ่ายเงินผิด ลืมกำหนดเวลาสิ้นสุด กลายเป็นเปิดยาวตลอด ทำให้กินเงินไปฟรีๆ โดยที่ไม่รู้ว่า (อันนี้ เรื่องจริง เพราะมีน้องคนนึง เปิดโฆษณาไว้ 1 เดือน โดยไม่รู้ว่าตัวเองเปิดไว้ แถมแอดวิ่งไป แบบไม่มีคนทัก ก็เลยไม่รู้ว่าแอดยังเปิดอยู่)
6.ไม่ได้ไปดูผลลัพธ์ของการทำโฆษณา
เมื่อทำโฆษณาเสร็จแล้ว การตรวจดู report รายงานเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันทำให้รู้ว่า ads ตัวไหนทำงานได้ดี แล้วทำงานได้ดีกับกลุ่มเป้าหมายไหนบ้าง
เพราะถ้าแอดตัวไหนไม่ดี เราดูจาก repor ก็ยังสามารถ นำข้อมูลจริงมาปรับปรุงโฆษณาให้ดีกว่าเดิมได้ แต่ถ้าไม่ได้ดูเลย ก็จะใช้การมโนนึกแทน ไม่ได้หยิบข้อมูลมาใช้เลย แบบนี้น่าเสียดายครับ
ลองเช็คกันดูนะครับ ว่าเราทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง
แล้วจะปรับปรุงอย่างไร
ทำผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะว่าถ้าเรารู้แล้วแก้ เรื่องแย่ๆ จะเป็นครูสอนเรา
แต่หากรู้ว่าพลาด แล้วไม่แก้ เรื่องแย่ๆ ก็จะใหญ่โตไปกว่าเดิม
เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt