6 เทคนิคที่คนทำเพจชอบลืม ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
6 เทคนิคที่คนทำเพจชอบลืม ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
วันนี้เหนื่อยกับการยิงแอดหรือเปล่า
วันนี้เหนื่อยกับการหาลูกค้าใหม่ๆอยู่หรือเปล่า
มั่นใจว่านี่คือภารกิจที่ทุกคนจะต้องทำ
เมื่อเข้ามาสู่การทำการตลาดออนไลน์
การใช้เงินเพื่อโฆษณาเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
จะดีกว่าไหมหากวันนี้
เงินที่เราลงโฆษณาไป เพื่อตามหาลูกค้าใหม่ๆ
จะทำงานได้อย่างคุ้มค่ามากกว่าเดิม
เพราะลูกค้าสมัยนี้จะเลือกซื้ออะไร
จะพิจารณาจากหลายองค์ประกอบมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
และนี่คือ 6 เทคนิคที่คนทำผิดชอบลืม
ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
มีอะไรบ้างนั้นมาดูกันเลยจ้า
1. ตั้งชื่อ ให้ search ง่ายๆ ใน เฟสบุ๊ค และ google
เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ถือว่าคลาสสิคมากๆ
เป็นหัวข้อลำดับต้นๆที่เราต้องคำนึงถึงในการสร้างเพจขึ้นมาใหม่
ชื่อที่ดีจะทำให้เราเจอลูกค้าใหม่ๆมากขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินเลย
ดีไหมล่ะไม่ต้องจ่ายตังค์
บางคนที่มีธุรกิจเป็นของตัวเองแล้วในโลกออฟไลน์
จะย้ายมาทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ แล้วใส่ชื่อแบรนด์ของตัวเองก็ไม่ผิด
แต่คนที่จะเจอเพจของเรา เขาจะรู้ได้อย่างไร
ถ้าเป็นลูกค้าเก่าก็แค่ search ชื่อแบรนด์ของเราก็พอแล้ว
แต่ถ้าเป็นคนใหม่ๆ เราต้องเสียเงินค่าโฆษณาเพื่อทำให้เขารู้จักเรา
เทคนิคที่จะช่วยเสริมให้ลูกค้าใหม่ๆมาเจอเราได้
นั่นคือการใส่คำค้นหา ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา เข้าไปในชื่อเพจ
ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจของคุณคือ
อู่ซ่อมรถ ที่สมุทรปราการ
หากใส่เพียงชื่ออู่ของคุณ เวลาคนใหม่ๆ search ใน Facebook หรือ Google จะไม่มีทางเจอคุณได้เลย แต่ถ้าคุณเพิ่มคำว่า “อู่ซ่อมรถสมุทรปราการ” เข้าไป ลูกค้าใหม่ๆที่กำลังมองหาอู่ซ่อมรถ ในสมุทรปราการก็จะเจอคุณทันที
และยิ่งชื่อเพจของคุณไปติดอยู่ในลำดับต้นๆของ Google
โอกาสที่จะได้ลูกค้าใหม่ๆ จะทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก
2. ใส่ข้อมูลทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับธุรกิจของเรา ที่เปิดเผยได้ ลงไปใน note
เมื่อคนเข้ามาในเพจของคุณ สิ่งที่เขาต้องการอยากรู้นอกเหนือจากข้อมูลในไทม์ไลน์
นั่นคือบทสรุปเกี่ยวกับธุรกิจของคุณโดยคร่าวๆ
คุณสามารถใส่เรื่องราวต่างๆ นี้เข้าไปได้ทั้งข้อความ ภาพ Link เว็บไซต์หรือ Social Media อื่นๆได้เลย เบอร์โทรศัพท์ เบอร์ติดต่อ อีเมล
คุณสามารถใส่เรื่องราวความสำเร็จ ที่มาที่ไปแบบสั้นๆ
รางวัลที่คุ้นเคยได้รับ สินค้าที่คุณเคยให้บริการ
คุณสามารถจัดรูปแบบของบทความ ได้ง่ายๆเหมือนใช้โปรแกรม Word
ที่ดีไปกว่านั้น มันสามารถแสดงผลใน Facebook ได้อย่างรวดเร็ว
ลูกค้าใหม่ๆสามารถเรียนรู้ธุรกิจของคุณภายในเวลาเล็กน้อย
เพิ่มความมั่นใจได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
ดีไหมครับ
3. auto messenger เด้งขึ้นมา แล้วส่งข้อความ ไปทางไลน์ หรือ เบอร์โทร
คนเราสมัยนี้ใจร้อนมากกว่าเดิม
ถ้าติดต่อผ่านทาง inbox แล้ว ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
โอกาสที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการของคนอื่น ก็มีสุขมาก
จะดีกว่าไหม
ถ้าเราสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันที
แม้จะไม่ได้ตอบคำถามของเขาได้หมดในครั้งแรกก็ตาม
แต่ก็ถือว่าได้ตอบสนองต่อการทักทายของเขาแล้ว
ฟังก์ชันนี้สามารถทำได้ง่าย โดยไปที่
Setting > Messeging > Starting a Messenger Conversation
ปรับ Show a greeting ให้เป็น On
แล้วปรับแต่งข้อความต้อนรับ ได้ตามความต้องการ
ซึ่งในขั้นตอนนี้คุณสามารถจะใส่เบอร์โทรเบอร์ line เบอร์อีเมล์เว็บไซต์ได้ตามความต้องการ
ลูกค้าที่มีความต้องการพบคุณโดยเร่งด่วน จะติดต่อผ่านทาง LINE หรือ หรือโทรมาหาคุณโดยทันที
เป็นการเพิ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ พร้อมซื้อหรือใช้บริการของคุณ
4. เติมเต็มข้อมูลใน about ให้ครบ ทุกช่อง
คนทำเพจส่วนใหญ่ มักจะละเลยข้อมูลใน section about
เพราะเป็นเมนูด้านข้าง เป็นแถบเล็กๆ
หาข้อมูลส่วนนี้ช่วยทำให้ลูกค้ารู้จักเราเพิ่มขึ้นได้ดีกว่าเดิม
เพราะนี่คือช่องใส่เบอร์โทรศัพท์ เว็บไซต์ เวลาทำการ รวมไปถึงที่อยู่
การมีข้อมูลให้คนติดต่อได้ง่ายกว่า
ย่อมทำให้มีโอกาสให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการจากเราได้ง่ายกว่า
ที่สำคัญไม่ต้องเสียเงินด้วย
มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ทำมัน
วิธีการทำก็ง่ายๆ
ถ้าอยู่หน้า desktop ก็ให้มองไปที่ด้านซ้าย
แล้วดูคำว่า about
เมื่อกี้ไปแล้ว จะพบข้อมูลในช่องว่างให้เรารออัพเดท
ใส่เข้าไปเลยครับ!
5. Header เฟสบุ๊ค จัดให้เต็มๆ ทั้งเบอร์โทร เบอร์ไลน์
ส่วนบนสุดของหน้าเพจ
ที่เป็นภาพโชว์ขนาดใหญ่
สิ่งนี้เราเรียกว่า Header ของ Facebook
นี่คือพื้นที่แสดงความเป็นตัวตนของเรา
ที่แสดงให้เห็นถึงสินค้าหรือบริการที่เรานำเสนออยู่
คือสิ่งที่ควรจะพิจารณาเอามาใช้
หากเป็นไปได้
การใส่เบอร์ line หรือเบอร์โทรศัพท์
จะว่างให้เหมาะสมโดยไม่รบกวนเกินไป
จะเพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้กับคุณได้
การออกแบบ Header
ควรคำนึงถึงการแสดงผลในหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
เพราะคนส่วนใหญ่ใน Facebook จะใช้มือถือในการเล่น
เมื่อออกแบบมาดูดีแล้วในเวอร์ชั่นเดสก์ท็อป
ลองดูตอนที่มันแสดงผลในหน้าจอมือถือด้วย
เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสดีๆไป
6. เพิ่มจำนวนรีวิว สร้างบรรยากาศให้น่าซื้อมากขึ้น
เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้ว
หาร้านข้าวกินโดยที่ไม่มีข้อมูลไหม
หรือไปเที่ยวต่างประเทศ
แล้วไม่มีข้อมูลรีวิวบอกเลย
เราจะตัดสินใจเลือกร้านกินด้วยอะไร
ส่วนใหญ่เราจะดูจากคนที่เข้าไปกินอาหารในร้านนั้น
ถ้าคนเยอะแสดงว่าเป็นร้านอร่อย จะต้องมีอะไรดีๆอยู่แน่นอนเลย
เป็นเครื่องการันตีว่าร้านนี้ “ผ่าน”อย่างแน่นอน
หรือใกล้ตัวขึ้นมาอีกหน่อย
เวลาไปตลาดนัด แล้วคนมุงดูหน้าร้านเยอะๆ
เราย่อมจะให้ความสนใจกับมันมากกว่าร้านอื่นๆ
เป็นเครื่องการันตีว่าร้านนี้มีอะไรดีอย่างแน่นอน
บนโลกออนไลน์ก็เช่นกัน
เราจะทำอย่างไรให้คนมามุงเยอะๆ
สิ่งนี้สามารถทำได้บนหน้าเพจ
นั่นคือจำนวนรีวิวจากลูกค้านั่นเอง
เทคนิคง่ายๆในการที่จะเพิ่มจำนวนรีวิวก็คือ
การขอร้องให้ ลูกค้าที่ชื่นชอบสินค้าของเรา หรือลูกค้าประจำ ช่วยรีวิวสินค้าหรือบริการของเรา ผ่านช่องรีวิวของเพจ
อาจจะแลกเปลี่ยนกับส่วนลดในการซื้อครั้งต่อไป
หรือมอบของสมนาคุณให้กับเขา ก็เป็นไปได้
เพราะคะแนนรีวิวจะช่วยเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้าใหม่ๆได้เป็นอย่างดี
และทั้งหมดนี้ ก็คือ 6 เทคนิคที่คนทำผิดชอบลืม ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
หวังว่าทุกคนจะนำไปประยุกต์ใช้กับเพจตัวเอง
แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น คือยอดขายที่เพิ่มขึ้นนะครับ
เพิ่มคนติดตามเพจ แบบมีคุณภาพ ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว เพียงทำสิ่งนี้!
เพิ่มคนติดตามเพจ แบบมีคุณภาพ ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว เพียงทำสิ่งนี้!
มีคนกล่าวไว้ว่าถ้าคน Search หาสินค้าหรือบริการ หาสินค้าหรือบริการ
แล้วเว็บไซต์หรือเพจของเราไปติดที่หน้าแรกของ Google ด้วย
ก็เหมือนมีเครื่องปั้มเงินส่วนตัวไว้ใช้ตลอดชีวิต
ใครๆก็อยากได้ใช่ไหมครับ
ผมเคยแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในหัวข้อที่ชื่อว่า Free traffic
จริงๆมันก็คือเรื่องการทำ seo search engine Optimization
หรือพูดง่ายๆมันก็คือการทำยังไงก็ได้ให้ติดในหน้าแรกของการค้นหาที่ Google
สำหรับคนที่ไม่มีเว็บไซต์ มีแค่เพจ Facebook อย่างเดียวก็สามารถทำได้เช่นกัน
แล้วมันทำได้อย่างไรล่ะ
มาดูกันเลย!!
สิ่งแรกที่คุณต้องเข้าใจ
นั่นก็คือ ลูกค้าของคุณจะค้นหาสินค้าหรือบริการของคุณด้วยคำว่าอะไร
นั่นคือหัวใจที่จะทำให้คุณนำมาตั้งเป็นชื่อเพจ
เทคนิคนี้ก็คือการนำเอาคำค้นหาเหล่านี้ มาใส่ในชื่อเพจ
แน่นอนว่าชื่อเพจของคุณมันจะยาวขึ้น อาจจะดูไม่ค่อยสวยงามนัก
แต่เป้าหมายของการตั้งชื่อเพจ ไม่ได้ตั้งให้เท่ แต่เราเน้นยอดขาย และให้คนเข้ามาเจอเราเยอะๆ
สมัยก่อน มีหลายเพจที่ผมตั้งชื่อสั้นๆ
ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนะ แต่ว่าคนที่เข้ามาในเพจก็จะเป็นคนเดิมๆ คนที่รู้จักเราอยู่แล้ว
ถ้าจะให้คนใหม่ๆเข้ามาติดตาม ก็ต้องเสียเงินโฆษณาอยู่ประจำ หรือบอกให้เขามากดติดตาม
ไม่มีวิธีอื่นๆเลยที่จะได้ลูกค้าใหม่ๆมาติดตามเพจ
แต่หลังจากที่ใช้วิธีนี้แล้ว
ปรากฏว่า เราได้ลูกค้าคนใหม่ๆเข้ามามากขึ้นกว่าเดิม
โดยที่ไม่ต้องเสียเงินจ่ายค่าโฆษณาเลยแม้แต่น้อย
มีเพจท่องเที่ยว ที่ผมใช้ชื่อสถานที่ท่องเที่ยวมาตั้งเป็นชื่อเพจ
แล้วปล่อยให้คนเข้ามาติดตามกันเอง
ทุกวันนี้มีคนกดไลค์ประมาณ 40,000 คน
ซึ่งแต่ละคน แต่ละไลค์ นั้นไม่ได้เกิดจากการใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว
แถมยังเป็นคนที่มี Engagement ที่เหนียวแน่นมากๆ
โพสต์อะไรไปแป๊บเดียวคนก็เข้ามาคุยกันเยอะแยะ
น่าสนใจไหมครับ!!
หรืออย่างเพจร้านกาแฟที่ผมทำ
เมื่อก่อนเราใช้แค่ชื่อร้านอย่างเดียวเก๋ๆ
ก็เจอแต่คนเดิมๆเท่านั้น
พอเปลี่ยนมาใช้หลักการนี้ ใช้เวลาทำแค่ 5 นาที
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน
มีคนหน้าใหม่ๆ เข้ามาหาเรามากขึ้น
กดติดตามเพจเรามากขึ้น และเป็นคนที่มองหาสินค้าและบริการของเราจริงๆ
นี่คือลูกค้าที่มีคุณภาพ
จะดีกว่าไหมครับถ้าเรามีลูกค้าคุณภาพ
เพิ่มขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องเสียเงินทำโฆษณาแม้แต่บาทเดียว
เอาล่ะมาถึงตอนนี้หลายๆคนก็อยากจะรู้แล้วใช่ไหมว่าเราจะใช้เครื่องมืออะไรในการค้นหา keyword หรือคำค้นหา เกี่ยวกับสินค้าและบริการของเรา
ผมจะไม่ลงลึกในเรื่องการใช้เครื่องมือนะครับ แต่จะบอกให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง
Google keyword suggestion
Google Trends
Uber Suggest
Keysearch.co
เครื่องมือเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยยืนยันว่าคนค้นหา Keyword เหล่านี้ มากน้อยแค่ไหน
Keyword ตัวไหนที่คนค้นหาเยอะ
เราจะเลือกมาใช้งาน
แต่ keyword ที่มีคนค้นหาเยอะมากๆ อาจจะเป็น keyword ที่กว้างไป ไม่เจาะจง
ยกตัวอย่างเช่น เค้กวันเกิด
คนที่ค้นหาคำนี้ คือเด็กๆที่หาภาพเค้กวันเกิดส่งให้เพื่อน เท่านั้น
แต่หากเพิ่มเข้าไปเป็นพื้นที่ เช่นเค้กวันเกิดสมุทรปราการ
คนที่ค้นหาคำนี้ก็คือคนที่มองหาเค้กวันเกิดแถวๆสมุทรปราการ
เพราะการซื้อเค้กที่ไกลออกไปจากพื้นที่บ้านของตัวเอง
จะเสียค่าส่งที่แพงมากกว่าเดิม
(ยกเว้นว่าเป็นเค้กที่เจ๋งมากๆ และไม่มีทางเลือกอื่นให้ใช้บริการแถวบ้านเลย)
เมื่อเราได้ Keyword ที่จะนำมาใช้งานแล้ว
ให้เราทำการเพิ่ม keyword เหล่านี้ลงไปในชื่อเพจ
โดยไปตั้งค่าที่ Page > about
หลังจากนั้นก็เพิ่ม keyword ให้ต่อจากชื่อเพจเดิมของเรา
ยกตัวอย่างเช่น
คุณสมหมาย มีกิจการเช่ารถที่เชียงใหม่ แล้วตั้งชื่อเพจ
โดยมีชื่อเดิมคือ “สมหมาย carrent”
สังเกตว่าชื่อแบบนี้มันจะกว้างมากๆ และจะมีแต่คนหน้าเดิมๆที่รู้จักเพจนี้
แต่ถ้าเราเพิ่ม keyword เข้าไปว่า “รถเช่าราคาถูก เชียงใหม่” กลายเป็น
“สมหมาย carrent รถเช่าราคาถูก เชียงใหม่”
คนที่ค้นหาคำว่ารถเช่าเชียงใหม่ ทั้งใน Google และ facebook
จะมีโอกาสเห็นเพจนี้มากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ที่สำคัญการเปลี่ยนชื่อเพจนั้น Facebook ไม่ยอมให้เราเปลี่ยนชื่อจากหน้ามือเป็นหลังมือนะครับ
ต้องเพิ่มเข้าไปด้านหลังจากของเดิมก่อนเท่านั้น
เพราะ Facebook ป้องกันการปั่นยอดคนติดตามในเพจ
แล้วเปลี่ยนชื่อไปเป็นเพจอื่น นั่นเอง
ลองนำไปใช้ก่อนนะครับผมคิดว่า
มันเป็นเทคนิคง่ายที่จะเพิ่มยอดขาย และคนติดตามที่มีคุณภาพให้กับเพจของคุณ
โดยที่ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว
ของฟรีมีในโลกถ้ารู้จักใช้!!
ติดตามเทคนิคการตลาดออนไลน์ ที่เข้าใจง่ายและทำตามได้
กับผม พี่นุกสอนรุกการตลาดออนไลน์
กด see First กดติดดาว กด Comment กดไลค์ กดหัวใจ
เพื่อให้เราได้มาเจอกันอีกนะครับ
#digitalnook
Facebook ลั่น ลบป้าย Badge สีเทาแล้ว ดีเดย์ 30 ตุลาคม 62
Facebook ลั่น ลบป้าย Badge สีเทาแล้ว
ดีเดย์ 30 ตุลาคม 62
.
es
วันนี้หลายๆที่เป็นแอดมินเพจ น่าจะได้รับข้อความแปลกๆ ที่บอกว่า
Badge สีเทาของคุณจะหายไป แล้วนะ เพราะว่าเรากำลังจะยกเลิกสิ่งนี้
.
บางคนตระหนกตกใจว่า
เอ จะมาลบเพจฉันหรือ ฉันทำอะไรผิด
.
ไม่ต้องตกใจกันไปนะ
เพราะว่า เป็นนโยบายของทาง Facebook เอง
ที่จะยกเลิก Badge สีเทา เท่านั้น
.
Badge สีเทา นี้คืออะไร?
.
Badge สีเทา หรือ ป้ายสีเทานี้ คือ เครื่องหมายที่บ่งบอกว่า เพจนี้ มีการยืนยันตัวตนที่ชัดเจน
ว่า เป็นเพจที่ทำธุรกิจนี้จริงๆจังๆ ไม่ได้มาทำอะไรเล่นๆ
เรียกว่า เป็นของแท้แล้วกัน
.
ซึ่งจะต่างไปจากเพจ ที่เป็นสื่อ ดารา blogger หรือแบรนด์ต่างๆ ที่เป็นสีน้ำเงิน
ถ้าบ้านเรา ก็อาทิ ไทยรัฐ wongnai เป็นต้น
.
แล้วทำไม Facebook ถึงยกเลิกล่ะ?
.
เพราะมีคนเป็นจำนวนมากบอกว่า ป้ายเทาๆ เนี่ย
มันมีแล้ว ก็ไม่เข้าใจ ว่าคืออะไร
ดูไปแล้ว ไม่รู้เรื่อง แทนที่จะดี กลับกลายเป็นไม่ ok
.
แล้วเพจเราจะหายไปมั้ย?
.
คำตอบคือ ไม่หายใป
เพจยังอยู่ ที่หายไป คือ Badge สีเทาเท่านั้น
แต่ถ้าเพจหายไป แสดงว่าคุณอาจจะทำอะไรประหลาดๆ ไม่น่าไว้วางใจ
แล้วล่ะ
.
ติดตามเรื่องราวการตลาดออนไลน์จากผม
พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์
#digitalnook
.
กดติดตามเพจนี้ได้เลยนะ
เทคนิคเปลี่ยนข้อความ เปลี่ยนภาพของโพสต์เฟสบุ๊ค ที่โฆษณาไปแล้ว ทำได้แบบนี้นี่เอง
เทคนิคเปลี่ยนข้อความ เปลี่ยนภาพของโพสต์เฟสบุ๊ค ที่โฆษณาไปแล้ว ทำได้แบบนี้นี่เอง
.
ปัญหาอีกอย่าง ที่หลายๆ คนสงสัย
นั่นคือ ทำโพสต์บนเพจ แล้วทำการโฆษณาจนผ่านการ approve จากเฟสบุ๊คแล้ว
แต่เผอิญว่า มีบางอย่างต้องแก้ไขเล็กน้อยแล้วค่อย boost ต่อ
.
พอจะกด edit ก็หาที่ edit ไม่เจอ
ซึ่งอันนั้น เป็นเรื่องปกติที่เฟสบุ๊คกำหนดไว้อยู่แล้ว
.
แล้วทำยังไงดีล่ะ
.
อันที่จริง เทคนิคนี้ ไม่ใช่เทคนิคที่ยุ่งยาก หรือ ล้ำสมัยแต่อย่างใด
แต่หากใครไม่เคยทำ อาจจะต้องเสียเวลา กับการปรับแต่งด้วยตัวเอง
.
ถ้าอยากหาทางลัด ก็ให้อ่านตามคำแนะนำในโพสต์นี้ได้เลยครับ
(ย้ำว่า เทคนิคนี้ สำหรับการทำโฆษณาจาก existing post ครับ ถ้าเป็นแบบ create ads ขึ้นมาใหม่ วิธีนี้ไม่จำเป็นเลย)
.
1.ไปที่ campaign ที่เราต้องการปรับ
เลือก campaign ที่เราโฆษณาผ่านแล้ว แต่อยากปรับเนื้อหา หรือ เปลี่ยนภาพ
แล้วไปคลิกไป edit ad
2.เปลี่ยน ad ที่กำลังแสดงผล เป็นโพสต์อื่นในเพจแทน
ทำการ edit ad ที่แสดงผลตอนนี้ โดยเลือกโพสต์อื่นๆ มาโฆษณาแทนชั่วคราว
ด้วยการกดปุ่ม change post
3.ทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่เราต้องการเปลี่ยน
เมื่อเราเลือกโพสต์อื่น มาโฆษณาแทนแล้ว ตอนนี้ เมื่อคลิกขวาที่โพสต์ เราก็สามารถแก้ไข ข้อความ แก้ไขภาพ ได้ตามปกติ แล้วครับ เปลี่ยนเลย!
4.กลับไปที่ campaign เดิมเพื่อเลือกโพสต์ที่ได้รับการแก้ไขแล้วมาโฆษณาต่อ
แก้ไขจนพอใจ ไม่มีอะไรติดค้างแล้ว ก็ให้ไปที่ campaign โฆษณาเดิม แล้ว เลือกไปถึงระดับของ ad
เลือกโพสต์ที่เราแก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว ให้มาเป็น ad ของ campaign เหมือนเดิม
ถือเป็นอันจบ
อ้อ หลายๆ ท่านที่เพจ มีโพสต์เยอะ
จนบางครั้ง เลื่อนมองหาโพสต์ไม่เจอ
ให้ไปจด ID ของ post ไว้นะครับ เราใช้เลข ID ของโพสต์มาระบุเลย
จะได้โพสต์นั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว
.
ถ้าแอดนี้ วิ่งไปจนจบแล้ว
จะไม่สามารถแก้ไขได้
ทางเลือก ก็คือ กดเพิ่มวันแสดงผลโฆษณา
หรือ ลบไปเลย (ถ้าไม่มีปัญหา เรื่องการเก็บ report ไปให้ใครดู)
.
หากคิดว่าเทคนิคนี้ น่าจะได้นำไปใช้ในอนาคต
หรือว่า อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่าน
แชร์ได้เลยนะครับ 😉
ไม่เก็บเงิน 555
.
#digitalnook
5 เคล็ดลับ มัดใจลูกค้าให้ติดหนึบ หลังปิดการขาย!!
5 เคล็ดลับ มัดใจลูกค้าให้ติดหนึบ หลังปิดการขาย!!
.
ลูกค้า กว่าจะหามาได้สักคนนึง
ต้องแลกกับค่าโฆษณา ค่าอินเตอร์เน็ต
เวลาที่เราพูดคุยกับเขาจนจบ
.
จะดีกว่ามั้ย หากเขาจะกลับมาซื้อซ้ำ
สินค้าของเราอีกครั้ง
หรือ ซื้อแล้ว ซื้ออีกเรื่อยๆ
.
นั่นคือความประทับใจ
แต่จะทำให้เขาประทับใจอย่างไรกันดีล่ะ
.
วันนี้เลยขอมาแชร์ เคล็ดลับดีๆ
ที่คนขายของดีๆ เขาทำกัน
บางท่านที่ใช้เทคนิคนี้อยู่แล้ว ก็ถือว่าดีเลยครับ
แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยทำ
ลองไปใช้กันดูจ้า
เอาล่ะ มาดูกันเลย
1. แจ้งสถานะการส่ง ทุกครั้ง
เพราะ การซื้อของออนไลน์ หรือ ใช้บริการออนไลน์
คนอยากรู้ว่า ของจะมาถึงตัวเองเมื่อไร
หัวใจมันร่ำร้องบอกว่า
มาเร็วๆๆๆ
.
สมัยนี้ ระบบ tracking ต่างๆ ของบริษัทขนส่ง หรือ Logistic นั้น
ตรวจสอบกันได้ทุกระยะ อยู่แล้ว
.
การส่งเลข EMS หรือ tracking number ให้ลูกค้าโดยไม่ต้องบอก
จะสร้างความเชื่อมั่น อุ่นใจให้ลูกค้า ว่าได้รับของแน่นอน
.
เหมือนที่เราเห็นใน shopee lazada ต่างๆ แหละครับ
(ใจคนคอย มันเต็มไปด้วยความหวังนะ 😉
.
2. การแนบโบรชัวร์ สินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไปให้
เมื่อกล่องสินค้า ไปถึงมือลูกค้าแล้ว
ความตื่นเต้นจะบังเกิด กับลูกค้า
เขาจะแกะกล่อง เพื่อตรวจสอบ สำรวจสินค้าทันที
.
ดังนั้น เขาจะสนใจ ของทุกอย่างที่อยู่ด้านในเสมอ
นี่คือโอกาส ในการขายของเพิ่มเติม
.
กระดาษสักใบ ที่แสดงสินค้าอื่นๆ ที่คุณมีอยู่พร้อมราคา
คือการเพิ่มยอดให้คุณ!!
.
เสียค่าแอดแล้ว กระดาษ 1 ใบ ราคาถูกกว่าค่าแอดอีกนะครับ
.
3. การให้ส่วนลด เมื่อซื้อครั้งต่อไป
ข้อเสนอสำหรับคนพิเศษ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
เราจึงขอมอบส่วนลดในการซื้อสินค้าครั้งต่อไป ในร้านเรา
เพียงแสดงโค้ดนี้มาด้วย
.
แม้เขาจะไม่ได้ซื้อในทันที
แต่ครั้งต่อไป เขาจะนึกถึงเรา เป็นลำดับต้นๆ
.
ส่วนลดกับลูกค้าที่เคยซื้อของจากเราไป
กับยอดขายที่เพิ่มขึ้น ในระยะยาว
ผมว่าคุ้มค่านะครับ
.
4. การให้ของแถมเล็กๆน้อยๆ กับ ลูกค้า
ของที่ระลึก หรือ ของแถม ที่มีประโยชน์กับเขา
สอดคล้องกับสินค้าของเรา
จะทำให้ลูกค้าจดจำ เราได้เสมอ
.
จดจำได้ว่า เคยซื้ออะไรจากเรา
จดจำได้ว่า เรามีความใส่ใจ ให้ลูกค้า
.
อย่างผมซื้อที่ชาร์จ กล้องถ่ายภาพมาจากเพจขาย Battery แห่งหนึ่ง
สิ่งที่เขาทำได้ดี คือการแถมผ้าเช็ดเลนส์ มาให้ด้วย
ซึ่งติดโลโก้ของแบรนด์มาเรียบร้อย
.
ทำให้ทุกครั้งเวลาเช็ด ผมจะเห็นโลโก้ของเขาตลอด
และหากผมไปเช็ด ตอนไปเที่ยว
.
เพื่อนๆ ก็จะเห็น และ รู้จักแบรนด์ไปในตัว
โดยที่ไม่ต้องเสียค่ายิงแอดเลย
.
5. การเข้าไปทักทายต่อยอดกับลูกค้า เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
เมื่อสินค้า ถึงมือแล้ว
การเข้าไปสอบถาม พูดคุยแสดงความเป็นกันเอง บ้าง
จะทำให้รู้สึกดี ว่าเอาใจใส่
.
ฝั่งคนขาย ก็จะมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า
อะไรดี อะไรไม่ดี
ต้องไปปรับปรุงตรงไหนบ้าง
.
และหากรักษา ความสัมพันธ์ได้ดี
การซื้อครั้งต่อไป ก็ไม่ยาก
.
เอาล่ะ
นั่นคือ 5 เคล็ดลับ ที่มัดใจให้ลูกค้าติดหนึบ
หลังจากปิดการขายเรียบร้อยแล้ว
.
ลองไปใช้กันดูนะครับ
.
อ้อ ที่สำคัญที่สุด
เมื่อมีลูกค้าที่ปิดได้แล้ว
.
การเก็บข้อมูลลูกค้าของเราเอาไว้
คือสิ่งสำคัญที่สุด นะครับ
เพราะนี่คือ ทรัพย์สินที่มีค่าสุดๆ ของเรา
.
อย่าทำหายนาจา
เอาไปทำการตลาดภายหลัง
จะโทรหา หรือ SMS ไปบ้าง
ก็ไม่ว่ากัน
.
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์ เป็นกำลังใจให้บ้างนะจ๊ะ 😉
.
#digitalnook
6 ข้อต้องรู้ ก่อน(โดนบังคับ) ไปใช้ LINE OA
6 ข้อต้องรู้ ก่อน(โดนบังคับ) ไปใช้ LINE OA
.
เปลี่ยนไปใช้ LINE OA (Line Official Account) ได้หรือยัง?
แล้วใช้ LINE@ ต่อไปได้หรือไม่
.
คำถามคาใจ เจ้าของธุรกิจ ที่ยังติดใจอยู่เสมอ
วันนี้ เลยขอรวบตึงเพื่อ ไขปัญหานี้ให้ฟังกันอีกครั้ง
ก่อนจะตัดสินใจ ย้ายไป อยู่ LINE OA
.
ใครที่จดๆจ้องๆ ลองอ่านแล้วทำความเข้าใจไปก่อนนะครับ
หากอยากรู้อะไรเพิ่มเติม ก็ comment กันมาได้ครับจะหาคำตอบมาให้
.
แต่ก่อนอื่น ขอบอกเลยนะ ว่าสบายใจได้
หลักการทำงาน ของ LINE OA ไม่ต่างจาก Line@ เลยจ้า
ไม่ต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด
.
1.ราคาที่เปลี่ยนไป
สมัยอยู่ Line@ อยากได้ลูกค้าเมื่อไหร่ เราก็ต้องยิงข้อความ
มีแพคเกจให้เลือกมากมาย หลายขนาน ตั้งแต่ ฟรี 190 บาท / 990 / 1900 / 5000
ก็ส่งโฆษณาไปหาลูกค้ากันสนั่นหวั่นไหว
.
แต่ตอนนี้ เขาปรับมาแล้วจ้า
ให้เหลือ 3 แพคเกจ นั่นคือ
.
ฟรี
ส่งไม่เกิน 1,000 ข้อความ
ไม่มีคำว่าส่งเกินนะจ๊ะ
.
Basic
เดือนละ 1,200 บาท
ส่งไม่เกิน 12,000 ข้อความ
ถ้าเกินกว่านั้น คิด 0.08 บาทต่อข้อความ
.
Pro
เดือนละ 1,500 บาท
ส่งไม่เกิน 35,000 ข้อความ / ถ้าเกินกว่านั้น คิด 0.04 บาทต่อข้อความ
.
อ้อ แล้วค่า Premium ID ที่ทำให้เรา มีชื่อสวยๆ งามๆ ไม่ได้เป็นชื่อ ยึกยือ ที่เขาสุ่มมาให้ตั้งแต่แรก
ก็เพิ่มราคาจาก 5 usd เป็น 12 usd แล้วนะครับ 😉
.
ส่วนการคิดราคาต่อเดือน
ไม่ได้คิดจากระยะเวลานะครับ คิดตามวันภายในเดือนนั้นๆ เลย
ซื้อวันที่ 1 เม.ย. ก็หมด 30 เม.ย.
ซื้อวันที่ 28 เม.ย. ก็หมด 30 เม.ย.
.
แบบเดียวกับ Line@ เลยจ้า!!
ดังนั้น ถ้าจะซื้อ ก็ให้ซื้อวันแรก ของเดือนไปเลย
.
2. มีฟังก์ชั่นดีๆ ให้ใช้ ตั้งแต่แพคเกจ 0 บาท
สมัยอยู่ Line@ นั้น ถ้าเราอยากจะส่งพวก Rich Content หรืออยากจะมี Rich Menu ล่ะก็
ต้องจ่ายเงินเดือนละ 2000 บาทขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะส่งได้นะ
.
แต่สำหรับ LINE OA เราสามารถใช้งานสิ่งนี้ ได้ตั้งแต่แพคเกจฟรีเลยจ้า
สะดวกสบายจริงๆ เลยนะขอบอก
.
เริดมาก
.
3. เชื่อมกับ chatbot ได้แล้วจ้า
เรื่องของ chatbot นั้น ตอนออกมาครั้งแรกๆ ถือว่าฮือฮากันมาก
ใครๆ ก็อยากได้ อยากมีระบบ ตอบข้อความจาก User แบบอัตโนมัติกันหมด
ก็ต้องแลกด้วยค่าใช้จ่าย ปีละ 4 ล้าน เพื่อให้ทำสิ่งนี้ได้
.
แต่พอมี LINE OA เรา สามารถทำได้แล้วนะ
ตั้งแต่แพคเกจฟรีเลยจ้า
.
โดยมีเงื่อนไขว่า เราต้องใช้โปรแกรมเสริมอื่นๆ เข้ามาใช้งาน
อาทิ chatfuel / dialog flow / aiya chat / khaojao / zwiz.ai
ซึ่งก็ต้องใช้ ความรู้ความสามารถ พอสมควรเลย
.
หากเป็นผู้ประกอบการ ไม่ต้องไปเรียนก็ได้นะครับ
จ้างเอา 😉
.
4. บรอดแคสต์ ไม่อันลิมิตแล้วนะ
สมัยก่อน เราอยากส่งข้อความไปหาลูกค้าที่ติดตาม
ก็ส่งกันกระหน่ำ ไม่ต้องสนใจใดๆ เลย
.
แต่ตอนนี้ ยิงมากก็ต้องจ่ายมาก
ทำให้ต้องคิดแล้วคิด คิดอีก ก่อนจะส่ง
เพราะทุกอย่างคือค่าใช้จ่าย
.
การเลือกใช้ chatbot เข้ามาช่วย จะประหยัดค่าส่ง
เพราะว่า เราสามารถจะเลือกส่งให้แต่คนที่ใช่เท่านั้น
.
ส่วนกระบวนการ ก็จะซับซ้อนเข้าไปอีก
ซึ่งไม่ต้องมานั่งเรียนเพื่อทำเอง แนะนำให้จ้างนะครับ
.
และต่อไป หาก LINE OA กลายเป็นเรื่องปกติ
บางที อาจจะมี Solution ดีๆ ในราคาเบาๆ หรือ มีเครื่องมือที่ง่ายกว่าเดิมมาช่วยเราๆ ท่านๆ ก็ได้
.
5. มีระบบ TAG User แล้วนะ
สมัยก่อน เวลาจะหาลูกค้าสักที ก็ต้องใช้วิธีการเปลี่ยนชื่อเอา เติมชื่อเอา
แต่ตอนนี้ มีระบบ TAG มาช่วย กำกับ ลูกค้าแต่ละคนแล้ว
.
คนนี้โอนแล้ว รอโอน โอนเสร็จ ติดบัญชีดำ ลูกค้าชั้นดี
อยากทำอะไร ทำได้แล้วจ้า เพราะเขาพัฒนาระบบมาให้
.
แต่ระบบ TAG นี้ ยังไม่ได้เอาไปพัฒนา เพื่อเลือกส่งให้กับ User นะจ๊ะ
ถ้าอยากจะเลือกส่งแบบบรอดแคสต์ ตามเงื่อนไข ก็ยังต้องอาศัย ระบบ chatbot เข้ามาช่วย
.
6. Line@ จะหยุดให้บริการ แล้วบังคับเปลี่ยนเป็น LINE OA มกราคม 2563
.
สำหรับใครที่จดๆจ้องๆ ว่าจะย้ายดีมั้ย
ยังพอมีเวลาให้ทำใจได้ถึง มกราคม 2563 นะครับ
.
ประวิงเวลาได้ถึงตอนนั้น
(ตอนแรก ไลน์ประกาศ ว่าจะให้ย้ายทุกบัญชี ตั้งแต่สิงหาคม 2562
แต่ LINE OA เองก็ยังต้องพัฒนา ปรับปรุงเรื่อง BUG ต่างๆ ไประหว่างทางด้วย จึงทำให้ บังคับย้ายเลื่อนไปเดือนมกราคม 2563)
.
เอาล่ะ นั่นคือ 6 ข้อต้องรู้ ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ LINE OA ก้นได้สักที
เตรียมตัว เตรียมใจ รับมือกันด้วยน้า
.
ใครยังไม่ได้เรียนรู้ ก็เรียนรู้กันได้เลยนะคร้าบ
.
ที่สำคัญ
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์ คอมเมนต์กันได้ หากมีคำถามนะครับ
.
#digitalnook
7 เทคนิค เสกโพสต์ ให้ขายดี มีอยู่จริง เพียงทำสิ่งนี้!
7 เทคนิค เสกโพสต์ ให้ขายดี มีอยู่จริง เพียงทำสิ่งนี้!
อยากขายดีในออนไลน์
ก็ลอกตัวอย่างร้านขายดีในโลกแห่งความจริง
.
อยากให้โพสต์ขายของน่าสนใจ
ต้องสร้างบรรยากาศให้คนมุง
เหมือนร้านที่ขายดี ในห้างต่างๆ
เหมือน้รานอาหารอร่อย ที่เขาขายดี เป็นเทน้ำเทท่า
.
ว่าแต่จะทำยังไงดีล่ะ
อยากรู้มาอ่านกันเลย!!
.
ก่อนอื่น ถ้าอยากจะมี โพสต์ขายดี
ดูดี แบบนี้ได้ ต้องเตรียมการ เตรียมใจ
และเพียรทำสิ่งนี้ อยู่เป็นประจำนะครับ
.
1.ภาพและเนื้อหาในเพจ ต้องดีก่อน
หากจะลงโพสต์ หรือ โฆษณาให้คนเข้ามาเห็นสินค้า หรือบริการของเราเยอะๆ
ภาพ และ เนื้อหาต่างๆ ที่อยู่ในเพจของเรา จะต้องดูดี
อ่านเข้าใจง่าย และ สอดคล้องกับสิ่งที่เรานำเสนออยู่
.
ถ้าคลิกโพสต์โฆษณาเข้ามา แล้วเจอแต่เพจโล่งๆ
ก็น่าจะลดความน่าเชื่อถือไปได้เยอะเลย
.
ดังนั้น ทำ Content ขึ้นไว้ในเพจสัก 4-5 โพสต์ ให้คนรู้ว่า เราทำอะไร เพื่ออะไร หรือ แก้ปัญหาให้ใครได้บ้าง
ด้วยนะครับ
2. รีวิวในเพจ มีหรือยัง?
การจะตัดสินใจซื้ออะไรสักอย่างในเพจ คนอ่าน คนเข้ามา ก็อยากเห็นผลลัพธ์ ก่อนเสมอ
เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
.
ถ้ามี content รีวิว โชว์ความสำเร็จของลูกค้า หรือ ผู้ใช้ก่อนหน้านี้
จะทำให้คนเข้ามาดูเพจของเรา อยากทดลอง อยากซื้อเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
.
อันนี้ หมายรวมถึงรีวิวของเพจ ด้วยนะครับ
หากมีมากเท่าไร ก็หมายถึงคนที่ใช้บริการ คนที่ซื้อสินค้าของเราเยอะด้วย
.
พลังดาวรีวิวนั้นสำคัญนักแล!!
.
3. คนคอมเมนต์ในโพสต์ คึกคักขนาดไหน
บรรยากาศ ร้านขายดี หรือ ที่เที่ยวน่าไปในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น เป็นอย่างไร
บรรยากาศ คนสอบถาม คนพูดคุยกันในโพสต์ขายของนั้น ก็ควรจะเป็นในแนวทางเดียวกัน
.
คนถามไถ่ แล้วมีคนตอบ
ทักถาม แล้วไม่เงียบ
.
มีคนมากมาย เข้ามาให้กำลังใจ ให้ทัศนคติที่แตกต่างกันไป
ล้วนแต่ทำให้เราอยากรู้ว่า สินค้าของเรานั่นดีแค่ไหน
.
ลองให้คนทักทาย หรือ สอบถามใต้คอมเมนต์ เพื่อทำให้กลไกของเฟสบุ๊คนั้นทำงานได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ไม่เชื่อ ก็ลองเทียบกัน ระหว่าง โพสต์ที่เมนต์เยอะ กับ โพสต์ไร้เมนต์
อันไหน reach เยอะกว่ากัน
.
เพราะว่า เมื่อเราเมนต์ใต้โพสต์ เพื่อนของเรา ก็จะเห็นโพสต์นั้นด้วย
.
นั่นแหละครับ คือประโยชน์ของการคอมเมนต์ใต้โพสต์
.
4.ภาพกระแทกตา
เพราะ เฟสบุ๊คเป็นการตลาดแบบสไลด์ content ขึ้นลงบนสมาร์ทโฟน
หากภาพไม่เจ๋งจริง ก็ยากจะหยุดสายตาของคน
.
ภาพที่หยุดสายตาคนเรานั้น
มันควรต้องเด็ด ความเด็ด ก็คือ
– แปลก unseen ไม่เคยเห็นมาก่อน หรือ โดดเด่น ชัดเจน แจ่มแจ้ง
– ตรงไป ตรงมา
– ภาพที่ไม่ได้รับการปรุงแต่ง หรือ ภาพที่ไม่เคยซ้ำใครมาก่อน เฟสบุ๊คจะชอบเป็นพิเศษ (อย่าว่าแต่เฟสบุ๊คเลย คนเรายังชอบภาพใหม่ๆ เล้ย)
5.แคปชั่นกระแทกใจมั้ย?
คำพูด คำโปรย ที่หว่านลงไปในโพสต์นั้น คือสิ่งที่คนจะเห็นตามมาจากภาพ
หากประโยคแรก มันรวบตึงทุกปัญหา หรือ ทุกสิ่งที่เขาอยากรู้
ทำไมเขาจะไม่อ่าน?
.
แต่ทุกวันนี้ สิ่งที่เราทำ มันตรงกันข้ามหรือเปล่า
เอาสิ่งที่คนควรได้อ่านก่อนไปอยู่หลังๆ ไปอยู่ท้ายๆ
.
ดังนั้นจึงพึงระลึกเสมอว่า
คนเรา จะสนใจในสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเอง
และสิ่งที่สนใจจะฟัง จะอ่านเท่านั้น
.
ไม่ได้สนใจสิ่งที่เราอยากบอก
.
ไม่ใช่ว่าทุกคนเกลียดโฆษณา
เพียงแต่เขาไม่ชอบโฆษณา ที่ไม่ชอบเท่านั้น!
.
6.ข้อเสนอโดนๆ มีหรือยัง?
การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ
บางครั้ง ก็อยากจะขอต่อรองราคา เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่าเสมอ
.
แต่หากข้อเสนอจากผู้ขาย หรือ ผู้ให้บริการนั้นมันน่าสนใจมากพอ
การคลิกเข้ามาทัก หรือ เขียนคอมเมนต์สอบถาม ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
.
เมื่อเขามีความพยายาม ในการทักทายมาหาเรา
แสดงว่าเขาชื่นชอบ สนใจ และอยากจะซื้อขายกับเราแล้ว
.
ลองหาข้อเสนอดีๆ ที่คนอยากได้
มาไว้ในโพสต์ของเรา เพื่อกระตุ้นความอยากของลูกค้า ให้มากที่สุด
ผมคิดว่า ไม่ยากเกินความสามารถของทุกคนหรอกครับ
.
7.ข้อความเร่งเร้า มีหรือเปล่า
ตัวอย่างที่ดี ของข้อความเร่งเร้า เพื่อปิดการขายได้อย่างดีนั้น
คุณสามารถไป ดูได้ จากรายการทีวีไดเร็คต์ หรือ ควอนตั้มเทเลวิชั่น
หรือรายการนำเสนอสินค้า ที่ยิงกันจนพรุนในทีวี
.
ต้นแบบของการนำเสนอสินค้า ทางทีวี แบบนี้
ถ้าใครอยากรู้ ให้ไปหาหนังเรื่องนี้ดูกันครับ
“JOY จอย เธอสู้เพื่อฝัน (2016)”
.
ข้อความเร่งเร้า ที่เราเห็นกันบ่อยๆ ก็คือ
– สำหรับ 20 คนแรกเท่านั้น
– เฉพาะคนที่เห็นโฆษณานี้เท่านั้น
– ซื้อไปแล้ว 3234 ราย
– ก่อนวันที่ xx นี้เท่านั้น
– ภายในวันนี้ วันเดียว
.
เอาล่ะครับ ลองไปทำกันนะครับ
ได้ผลอย่างไร ลองมาดูกันจ้า
.
ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์
ขอบคุณมากครับผม 😉
.
website : https://www.digitalnook.co/
blog : https://medium.com/digitalnook
line : @digitalnook
boost post ไม่ผ่านเพราะติด instagram_branded_content(sponsorID) ต้องอ่าน
boost post ไม่ผ่านเพราะติด instagram_branded_content(sponsorID) ต้องอ่าน
.
ใครเจอปัญหา boost post ไม่ผ่านเพราะ
The parameter instagram_branded_content(sponsorID) is required (#100)
แก้ไม่ได้ อ่านตรงนี้เลย
.
แชร์ประสบการณ์
แก้ปัญหา instagram_branded_content(ID)
สดๆร้อนๆ เดือนกันยายน 2562
.
วันนี้ครับ
สดๆร้อนๆ คาดว่า น่าจะเกิดความเอ๋อ ของ facebook อีกครั้ง
เพราะว่า เมื่อบ่าย ยัง boost post ได้ตามปกติ
.
แต่ตอนกลางคืน ดันเจอปัญหา
error message
.
Fix 1 Error in 1 Ad
The parameter instagram_branded_content(sponsorID) is required (#100)
.
เอ๋า หรือว่าไม่ได้ติ๊ก IG ออก
หรือติ๊กออก ไม่ได้
เอ แต่เรื่อง Brand Content ก็ไม่เกี่ยวนิหว่า
.
ลองไปค้นหาคำตอบ ว่าเจอมั้ย
ใน google เพิ่งเจอกันสดๆร้อนๆ
ไม่ว่าจะ ทำยังไง ก็ไม่ผ่าน
.
ก็เลยหาทางแก้ไข ในแบบที่ลองด้นสด
กับ App Facebook Ads ในมือถือครับ
.
เข้าไปใน ad account นั้น
แล้วทำการเลือก โพสต์ที่จะ boost แล้วใช้กลุ่มเป้าหมาย ตามที่ต้องการ
.
กด boost post ตามต้องการ
หลังจากนั้น error นี้ ก็จะหายไปเลย
เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
.
สรุปเคสของผม คือ
– ทำงานผ่าน ads manager ผ่าน desktop
– ตอนแรกโพสต์ ที่ boost ผ่านแล้ว caption อ่านไม่เข้าใจ ต้องแก้ใหม่ เลยปรับให้ adset นี้ ไป boost post อื่นแทน
– พอแก้ไขโพสต์แล้ว กลับมา boost ต่อ ดันมี error message ตัวดังกล่าว
– ปรับยังไงก็ไม่หาย > ลองทดสอบกับ post อื่นๆ ก็ error เหมือนเดิม
– เลยใช้วิธีการ แก้จาก app facebook ads ผ่านมือถือ
– เลือก post ที่แก้ไขแล้ว ให้กับ adset ที่มีปัญหา คราวนี้ผ่าน!!
.
ยังไง ลองใช้ Mobile App Facebook ads
แก้ปัญหากันนะครับ
.
facebook ก็เพี้ยนๆ แบบนี้แหละ
เดี๋ยวก็น่าจะลงตัวเอง!
.
#digitalnook
6 เทคนิคที่คนทำเพจลืมทำ ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
6 เทคนิคที่คนทำเพจลืมทำ
ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
หลายคนที่ทำเพจขึ้นมา
มักจะมีคำถามว่า เอ ตอนนี้สุขภาพเพจ ของฉันดีหรือยังนะ
.
ต้องทำยังไงดี ถึงจะให้คนติดต่อมา
ทำยังไงให้คนสนใจ
.
วันนี้ ก็เลยขอมาแชร์
6 เทคนิคที่คนทำเพจลืมทำ
ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
.
ถ้าใครทำครบทำเกินครึ่ง ก็ถือว่า ok แล้วครับ
แต่ถ้าน้อยกว่า ครึ่ง หรือ ยังไม่ได้ทำเลย
ลองไปทำกันดูนะคร้าบ
.
เอาล่ะ มาลุยกันเลยว่าต้องทำอะไรกันบ้าง
.
1. ตั้งชื่อ ให้ search ง่ายๆ ใน เฟสบุ๊ค และ google
.
จริงๆแล้ว เฟสบุ๊ค เป็นเว็บไซต์ ที่มีความน่าเชื่อถือสูง ในเชิงเทคนิคของ Google
มี autority สูง เวลาเราทำเพจเป็นชื่อแบรนด์ จึงมักจะเจอเป็นอันดับแรกๆ ในการค้นหาผ่านเว็บ
.
แต่จะดีกว่ามั้ย หากชื่อเพจของเรานั้น
มีคำค้น หรือ keyword ที่บ่งบอกถึงบริการ ที่เราทำอยู่
เช่น ร้านเค้ก ลาดพร้าว หรือ แบตเตอรี่ โชคชัยสี่
.
โอกาสเจอลูกค้าใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้น มากกว่าที่เราตั้งชื่อเพจ โดยใช้ชื่อแบรนด์อย่างเดียว
.
2. ใส่ข้อมูลทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับธุรกิจของเรา ที่เปิดเผยได้ ลงไปใน note
.
feature นี้ มีประโยชน์นะครับ
เพราะว่า เปิดอ่านได้เร็ว ทำได้ง่ายๆ
แต่คนเรามักจะผ่านมันไปแบบเร็วๆ
.
ใน note นี้ มันจะอยู่ตรงด้านขวา เมื่อเราเปิดด้วย desktop
ถ้าเปิดใน mobile ก็จะเจอในช่วงแรกๆ ก่อนเข้าสู่ content ต่างๆของเรา
.
จะใส่ภาพ ผลงาน สินค้า หรือว่า ลิงค์ไปหา shopee lazada เว็บไซต์ line@
หรือเบอร์โทรต่างๆ ที่ติดต่อกันได้ง่ายๆ ลองดูกันนะครับ
.
3. auto messenger เด้งขึ้นมา แล้วส่งข้อความ ไปทางไลน์ หรือ เบอร์โทร
.
บางครั้ง อาจจะมีช่วงที่เรา ไม่ได้อยู่หน้าจอตลอดเวลา
แต่ลูกค้าต้องการจะติดต่อเรา ผ่านทาง inbox page
การมี ข้อความต้อนรับ จะทำให้ความรู้สึกของลูกค้านั้นดีอยู่
.
ถ้าให้ดี จะเอา link line หรือ เบอร์โทร เว็บไซต์ ใส่เข้าไปด้วย ก็ได้นะครับ
จะทำให้เพิ่มคนในช่องทางอื่นๆ เพิ่มเติมไปด้วย
.
เพราะนี่เป็นอีกวิธี ที่จะเพิ่มคนใน line OA หรือ line@ ได้ง่ายที่สุด
และเป็นคนคุณภาพ ที่พร้อมซื้อของเราจริงๆ
.
4. เติมเต็มข้อมูลใน about ให้ครบ ทุกช่อง
.
เขามีให้ใส่ ก็ควรใส่ให้หมดนะครับ
ทั้งเบอร์ติดต่อ เว็บไซต์ เวลาทำการ แผนที่ต่างๆ
ประเภทกิจการของเรา
คำบรรยาย เกี่ยวกับตัวเรา
มีอะไร ใส่ให้หมด เพื่อความเคลียร์แบบสุดๆ นะครับ
.
ติดต่อง่ายกว่า โอกาสในการขาย จึงมากกว่านะ
.
5. Cover เฟสบุ๊ค จัดให้เต็มๆ ทั้งเบอร์โทร เบอร์ไลน์
.
นี่มันคือภาพแรก ที่คนจะได้เห็นเวลาเข้าเพจของเรา
ออกแบบมาให้ดีเลยนะครับ
โดยคำนึงทั้งตอนเปิดในมือถือ และ desktop
.
พยายามให้ออกมาแล้วอ่านออกใน มือถือเป็นหลักก็ได้
เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเปิดใน มือถือเป็นหลัก
.
ขนาดที่เหมาะสม ก็คือ 820 x 312 pixels (ออกแบบมาแล้วเป๊ะ!)
แล้วก็อย่าลืมใส่เบอร์โทร เบอร์ไลน์ เว็บไซต์
หรืออะไรก็ได้ ที่เป็นช่องทางติดต่อเราได้
นี่คือโอกาสทางการค้านะครับผม 😉
.
6. เพิ่มจำนวนรีวิว สร้างบรรยากาศให้น่าซื้อมากขึ้น
.
ลองนึกภาพ เวลาคนเข้าไปในหน้า shopping สินค้า
หรือว่าไปกินข้าวต่างจังหวัด
เวลาที่ไหนคนเยอะๆ รีวิวเยอะๆ
ก็จะตามไปกิน เพราะคนเยอะ มันคือเครื่องการันตีความอร่อย ได้จริงๆ
.
ดังนั้น ถ้าเรามีคนซื้อสินค้าไปแล้ว ประทับใจชอบใจ
ให้ใจกล้าหน้าด้าน ขอรีวิว ขอคะแนน จากลูกค้าได้เลย
หรือว่าจะทำ โปรโมชั่น ให้คะแนนรีวิวเพจ แลกกับอะไรบางอย่างก็ได้
(แต่ต้องเป็นลูกค้าเราจริงๆ นะ)
.
เพราะอย่าง booking agoda lazada shopee จะให้เรารีวิว ได้หลังจากได้สินค้า หรือ ได้ใช้งานแล้วจริงๆ
สำหรับเฟสบุ๊คเพจ ก็เช่นกัน
.
รีวิวเยอะ บรรยากาศ การซื้อก็จะดีขึ้นตามลำดับ
บางทีก็มาจากคนที่เป็นเพื่อน ของคนที่รีวิว
มันดีจริงๆ นะ รีวิวเนี่ย
.
และทั้งหมดนั้นก็คือ
6 เทคนิคที่คนทำเพจลืมทำ
ทั้งที่ช่วยเราเพิ่มยอดขายได้
.
ที่สำคัญ ชอบกดไลค์ ใช่กดแชร์
แชร์สิจ๊ะ รออะไร
ไม่ต้องทำให้ทุกคนถูกใจ แต่แก้ไขปัญหาให้แค่บางคนก็พอ
แชร์แนวคิดสำหรับ ธุรกิจออนไลน์ที่เปิดตัวใหม่
ไม่ต้องทำให้ทุกคนถูกใจ แต่แก้ไขปัญหาให้แค่บางคนก็พอ
.
สินค้าต้องแมสเท่านั้น คนถึงจะซื้อ
ต้องทำของให้คนจำนวนเยอะๆ ถึงจะรวย
.
คำพูดดังกล่าวนั้น ไม่ผิดครับ
ถ้าเรามีเงินลงทุนจำนวนมากๆ เยอะๆ และพร้อมทุ่มไปเต็มที่
แบบนั้น ok เลยครับ
.
ในมุมกลับกัน
หากเรามีเงินทุนยังไม่มากพอ จะไปทุ่มขนาดนั้น
การไปหาตลาดใหญ่ ตั้งแต่ครั้งแรก อาจจะไม่เหมาะ
.
แต่ส่วนใหญ่ เรามักจะทำแบบนั้นกันเสมอ
เลยต้องพบกับ การใช้เงินเป็นจำนวนมาก
กับตลาดขนาดใหญ่
.
มีอีกแนวคิดหนึ่งครับ ที่ผมได้ฟังอย่างละเอียด ไปเมื่อวานนี้
จริงๆ ผมคุ้นหูกับคำว่า early adopter ผ่านบทสนนทนา
หรือบทความต่างๆ แต่อาจจะไม่ได้ลงลึก หรือเจาะลึก
หรือไม่อินกับคำพูดนี้สักเท่าไร
เลยเหมือนฟังผ่านๆ
.
ทว่าเมื่อวานนี้
ผมใช้เวลากับกราฟนี้ มากกว่าเดิม
โดยมีคุณอั๋น คุณเอ จาก สัมมนา iclass 1 month in a day
มาเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับกราฟนี้
เห็นว่า เป็นแนวคิดที่ดี เข้าใจง่าย เลยอยากเอามาแชร์ให้ฟังครับ
.
นั่นคือ กราฟ Technology Adoption
อธิบายการเติบโต ของธุรกิจประเภทนี้ได้ดี
.
ช่วงแรกของการสร้างธุรกิจนั้น จะเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า
innovation หรือ นวัตกรรม
กระบวนการ ที่ทำอะไรขึ้นมาใหม่ๆ อาจจะคิดใหม่ทั้งหมด
หรือ ต่อยอดจากของเดิมที่มีอยู่ให้ตอบโจทย์มากขึ้น
.
และเมื่อผ่านช่วงนวัตกรรม ช่วงแรกไปแล้ว
คนที่จะมาซึมซับ รับอะไรใหม่ๆ นี้ไปง่ายๆ
เราเรียกว่า early adopter
อย่างคนที่ ซื้อ iPhone รุ่นแรกๆ สมัคร netflix ทันทีที่เข้าไทย สมัคร spotify ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาใหม่ๆ กล้าใช้ grab ในวันแรกๆที่เปิดใช้งาน
.
ซึ่งพอกลุ่ม early adopter นั้นใช้งานกันอย่างบ้าคลั่ง สนุกสนาน
จนกระจายสิ่งเหล่านี้ออกไป แบบปากต่อปาก
สิ่งที่ตามมา ก็คือ เออ น่าสนใจ เอาด้วยวุ้ย!
นี่คือขั้นตอนที่เราเรียกว่า early majority
.
จนกระแสความฮิตนั้น หนักหน่วงจนกลายเป็นกระแสหลัก
เสมือนไลน์แมนวันนี้ ที่กลายเป็นเรื่องปกติของคนไทย
ใครๆ ก็ใช้ เพราะคนอื่นๆ ก็ใช้กันตลอดเวลา
อันนี้แหละ คือ stage ที่เรียกว่า late majority
คนรู้จักเยอะ เข้าใจเยอะ การแข่งขันของรายใหม่ๆ ก็จะยากขึ้นแล้ว
เพราะต้องใช้สรรพกำลังมาก ใช้เงินเยอะ
.
และท้ายสุด นั่นคือ laggards
เป็นช่วงปลายของวงจร แล้ว คนกลุ่มนี้จะยอมใช้ เพราะว่ามันไม่เหลือของเก่าๆ ให้ใช้งานแล้ว ยกตัวอย่างเช่น
– จำเป็นต้องเปลี่ยนจาก vdo มาเป็น vcd เพราะไม่มี vdo ขายแล้ว
– จำเป็นต้องเปลี่ยนจาก vcd เป็น dvd เพราะว่า ไม่มี vcd ขายแล้ว
– ต้องมาดู netflix แทน เพราะว่าตอนนี้ ที่บ้านไม่มีที่เก็บ blueray dvd แล้ว
.
ซึ่งกลุ่มคนในแต่ละ stage นั้น
มีความแตกต่างกันไปเสมอ
.
หากวันนี้ เรามีเงินเยอะมาก
มีเงินพร้อมทุ่ม ก็ไปเลย ที่ stage ของ early majority หรือ late majority
.
แต่หากความจริง ไม่ใช่
ให้พยายาม นึกตอบโจทย์ให้กับเหล่ early adopter แทน
ตอบโจทย์ แก้ปัญหา สร้างความพึงพอใจ ให้กับคนบางกลุ่ม ก่อน เหมือนกับ
– joox สร้างแอพฟังเพลง เพื่อสนอง need คนชอบฟังเพลงทั้งวัน
– lineman สร้างแอพขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์คนหิวข้าว แต่ไม่อยากไปซื้อเอง
– grab สร้างแอพขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์คนที่เรียกแท็กซี่ ไม่ได้สักที เพราะ แท็กซี่ไม่อยากไป
.
เพราะหากเราตอบสนองความต้องการ
ของคนกลุ่มเล็กๆ ให้เต็มที่ และสมบูรณ์แบบ
.
คนกลุ่มนี้แหละ จะขยาย กระจายให้บริการของเรา
เป็นที่รู้จักต่อเนื่องและยาวไกลไปแบบเต็มๆ
.
แต่ถ้าเรา ไม่สามารถเติมเต็มคนเหล่านี้ได้
มันก็จะกลายเป็นช่องว่าง ที่ทำให้ไปไม่ถึงฝั่งฝัน อย่างที่ต้องการ..
.
ลองคิดดูนะครับ
ว่าเราจะจัดการ อย่างไร กับคนกลุ่มเล็กๆ ที่พร้อมจะตะโกนบอกความดีงาม
ของธุรกิจออนไลน์ของคุณ ให้ดังไปไกลกว่าเดิม
ได้อย่างไร…
.
#digitalnook