ก่อนจะ ยิงแอดเฟสบุ๊ค เพิ่มยอดขาย ให้ทำสิ่งนี้ก่อน
ก่อนจะยิงแอดเฟสบุ๊ค เพิ่มยอดขาย ให้ทำสิ่งนี้ก่อน
เมื่อวันก่อนครับ
ผมได้รับข้อความทาง inbox มาจากผู้ประกอบการรายหนึ่ง
มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของยอดขาย
อยากเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
ยิงโฆษณาเสียเงินไปหลายหมื่น
แต่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
ผมเลยขอดูเพจที่ทำตอนนี้ ว่าโพสต์อะไรอยู่บ้าง
และพบอะไรหลายๆ อย่างที่ น่าจะเอามาแชร์แนวคิด ให้พวกเราได้อ่านกันครับ
ก่อนจะยิงแอด เพื่อเพิ่มยอดขายให้ทำสิ่งนี้ก่อน
1. โพสต์เรื่องที่ดี มีคุณค่ากับคนอ่าน
คนทำธุรกิจออนไลน์ ส่วนใหญ่ มักจะมองข้ามการโพสต์แบบให้คุณค่า
การโพสต์ที่ทำให้คนสนใจเรา มองว่าเราคือผู้ให้
แต่จะมุ่งเน้นไปที่การขายของเลย
ถ้าสินค้าคุณ ราคา 100-200 บาท จะยิงขายเลย
ไม่ใช่เรื่องผิดเลย สร้างยอดขายจากการยิงแอดได้เลยครับ
แต่หากเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าต่อชิ้นสูงกว่านั้น
จะดีกว่ามั้ย
หากเราลองเพิ่มโพสต์เนื้อหาที่มีคุณค่า ให้กับคนอ่าน คนติดตามไปด้วย
ทำให้เค้าเห็นว่า เรารู้ถึงปัญหา หรือ สิ่งที่เขากำลังมองหาอยู่
ซึ่งสิ่งนั้น เรารู้ดี เราเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น
ยกตัวอย่างเช่น
เราเป็น คนให้บริการเรื่องซ่อมบ้าน
เนื้อหาที่เราจะนำมาโพสต์ ควรเป็น
– ซ่อมบ้านมือสอง ต้องใช้งบเท่าไร
– ประตูพัง เปลี่ยนใหม่ ใช้แบบไหนดีนะ
ถ้าคุณพูดในเรื่องนี้ บ่อยๆ สม่ำเสมอ
คนจะรับรู้ว่าคุณคือคนเก่ง ในเรื่องนี้ทันที
ต่อไป เวลามีปัญหา เขาจะนึกถึงใครก่อน?
2. มีความรู้ในเรื่องนั้นจริงๆ
คนที่กำลังมองหา เจ้าของเพจ เจ้าของธุรกิจ ที่จะมาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้กับเขา
มักจะมองถึงประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทำก่อนเสมอ
เนื้อหาที่นำเสนอภายในเพจ
นอกเหนือจากจะให้คุณค่าแล้ว การให้ข้อมูลเชิงลึก จะช่วยทำให้เพจของเราดู
เป็นคนที่มีความรู้แบบ insight
แต่วิธีการนำเสนอ จะต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆ
ซึ่งเทคนิคการเขียนให้คนอื่นๆที่อยู่นอกเหนือวงการเข้าใจ
ก็คือ การนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาเข้าใจอยู่แล้ว
เช่นการอธิบายเรื่อง ริชเมนู
ที่เป็นฟีเจอร์สำคัญ ของ Line@ หรือ LINE OA ว่าคืออะไร
เมื่อต้องการให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพ
ก็อาจบอกได้ว่า Rich Menu นั้น เป็นเสมือนกับเมนู ที่ทำให้ลูกค้า
ได้ไปพบกับข้อมูล สำคัญสำคัญของเรา โดยไม่ต้องใช้คนมาตอบเอง
ลูกค้าสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
หรือ เปรียบดั่งประตูทางเข้า ที่พาไปสู่การสร้างยอดขายของธุรกิจของคุณ ได้โดยอัตโนมัติ
การอธิบายให้คนได้เข้าใจเรื่องใหม่ๆ
ด้วยประสบการณ์เดิมที่เขามีอยู่ นอกจากจะทำให้เข้าใจง่ายแล้ว
คนเหล่านั้นอย่างมองว่าคุณเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆในเรื่องนั้นๆ
เพราะถ้าไม่รู้อย่างถ่องแท้ จะไม่สามารถอธิบายด้วยการอุปมาอุปไมยได้
3. ความน่าเชื่อถือ ผลงานที่ผ่านมา
นอกจากการเป็นตัวจริง และรู้จริงในเรื่องนั้นๆ แล้ว
สิ่งที่จะเติมเต็มความน่าเชื่อถือให้กับผู้ติดตาม ก็คือ
ผลงานที่ผ่านมา สิ่งที่เคยทำไว้
สิ่งที่เคยช่วยเหลือคนอื่นมาก่อน
ยกตัวอย่างเช่น
เป็นธุรกิจรถยนต์มือสอง
ก็ต้องมีการโชว์โพสต์คนมารับรถที่ร้าน
มีการสัมภาษณ์ความรู้สึกของลูกค้า
ว่าทำไมถึงมั่นใจเลือกใช้บริการของเรา
ทั้งๆที่มีเจ้าอื่นให้เลือกมากมาย
คนกำลังทำสัญญาเพื่อรับมอบรถจากเรา
สิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้คนเชื่อมั่น และกล้าจะติดต่อธุรกิจกับเรามากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
4. ความสม่ำเสมอ
คนส่วนใหญ่มักจะตัดสินว่าธุรกิจนั้นยังดำเนินอยู่หรือเปล่า
จากวันที่โพสต์ล่าสุด ที่อยู่บนเพจ
ถึงแล้วว่าวันนี้ธุรกิจออฟไลน์ของคุณกำลังดำเนินอยู่
แต่หากหน้าเพจไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว
คนอาจจะตัดสินไปแล้วว่า
ธุรกิจนี้ ไม่มีความเคลื่อนไหว
ไปหาเจ้าอื่นๆ แทนดีกว่า
(ส่วนใหญ่เพจที่เลิกทำธุรกิจไปแล้ว มักจะไม่โพสต์อะไร ต่อไป หลังจากที่ธุรกิจปิดตัวแล้ว)
ความสม่ำเสมอ มีความสำคัญแบบนี้ครับ
สรุป
ลองไปปรับใช้กันนะครับ
ก่อนจะยิงแอดในครั้งต่อไป ลองเช็คว่า เรายังขาดข้อไหนบ้าง
รีบเติมเต็ม อย่างน้อยสัก 3 ข้อ
ก่อนที่จะลงทุนยิงแอด..
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
80/15/5 สูตรลับทำเพจ ที่ลูกค้าอนุญาตให้คุณขายของเขาได้!
80/15/5 สูตรลับ ทำเพจ ที่ลูกค้าอนุญาตให้คุณขายของเขาได้!
ทุกวันนี้คุณทำเพจเพื่อธุรกิจออนไลน์ ทำเพจขายของ
หากวันนี้คุณเสียค่าใช้จ่ายในการยิงกันมากมายแต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา
แสดงว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น
ที่คุณอาจจะลืมนึกไป
วันนี้ผมมีเทคนิคเคล็ดลับที่จะช่วยให้เพจเดิมของคุณ
ดีขึ้น น่าสนใจขึ้น
หากทำตามสูตรนี้
รับรองว่าลูกค้าจะอนุญาตให้คุณขายของเขาได้เลย!!
ซึ่งสูตรลับนี้ ผมได้เรียนมาจาก อ.เอเทน (Aten) และ อ.อั๋น
มาดูกันเลยครับว่าสูตรลับนี้ มีเคล็ดลับอย่างไร
สูตรลับที่ว่านี้ก็คือ 80/15/5
ตัวเลขแต่ละตัวที่กล่าวมานั้นเมื่อรวมกันก็คือ 100
เรามาขยายความตัวเลขแต่ละจำนวนกับดีกว่าครับ
ความหมายของตัวเลขในสูตร 80/15/5 นั่น คือ
- 80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
- 15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
- 5 : ช่วงขายของ
80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
ทุกวันนี้ Content ที่อยู่บนเพจของเราหน้าตามันเป็นยังไงครับ
เราขายของกันอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมเอ่ย
มันไม่ผิดนะที่เราจะขายของเพราะเราทำเพจขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์ในการหารายได้ให้กับตัวเอง
เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่เราอยากบอก
ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากฟัง
เพราะคนติดตามเพจของเราต้องการได้รับเนื้อหาอะไร ที่มีคุณค่ากับเขา
สังเกตว่า Content ที่มีคุณค่าจะมีคนกดไลค์ แสดงความคิดเห็น ไปจนกระทั่งการแชร์
ก็เขาบอกว่า Content นี้มีความหมายและมีคุณค่ามากพอ
ลองกลับไปดูเพจของตัวเองนะครับ ว่ามีคนแชร์โพสต์ไหนของคุณมากที่สุด
นั่นคือคุณค่าที่คนติดตามหรือคนอื่นเขามองเห็น
ยกตัวอย่างนะครับ
ถ้าวันนี้คุณขายสินค้าเป็น ผงชาเขียว
คนที่กำลังมองหา ผงชาเขียว อยู่แล้ว อาจต้องการเพียงสินค้าตัวอย่างเพื่อลองไปใช้ และรอคอยข้อเสนอราคาที่เหมาะสม
แต่คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่รู้ว่า ผงชาเขียว เอาไว้ทำอะไร
จะไม่ได้สนใจแล้วมองผ่านเลยไป
จะดีกว่าไหมหากวันนี้เราสามารถทำให้คนไม่ได้สนใจ ผงชาเขียว
หันมาสนใจ จนเกิดความอยากได้ และติดต่อซื้อผงชาเขียวจากเรา
เราสามารถส่งต่อเนื้อหาที่มีคุณค่าเกี่ยวกับผงชาเขียวได้หลายมุม ไม่ว่าจะเป็น
ประโยชน์ของชาเขียวที่มีต่อสุขภาพ
สูตรทำขนมที่ทำจากผงชาเขียว
สูตรทำเครื่องดื่มที่ทำจากใบชาเขียว
รายได้ที่เกิดขึ้นจากการขายเมนูที่ทำจากชาเขียว
สังเกตว่าเรากำลังพูดถึงประโยชน์ ของผงชาเขียว ที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้
เมื่อเรานำมาขยี้ ให้เห็นคุณค่าที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขา
ไม่ใช่ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
เมื่อเขาเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากผงชาเขียวที่ไม่เคยรู้มาก่อน
ก็จะเกิดความต้องการ ผงชาเขียวขึ้นมา
อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่เราทำไม่เคยทำเนื้อหา แบบนี้!
15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
คนส่วนใหญ่เวลากดโฆษณาใน Facebook มักจะเข้ามาดูเนื้อหาที่โพสต์เอาไว้ในเพจเสมอ
หาเพจของคุณไม่เคยมีตัวอย่างของ
คนใช้สินค้าหรือบริการ
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้สินค้า
ภาพของตัวคุณเองกับลูกค้า
แต่ปรากฏว่ามีเฉพาะ
โพสต์ขายของอย่างเดียว
สรรพคุณของฉันดีอย่างไร
คนที่เข้ามาดูเพจจะรู้สึกอย่างไร
หาโพสต์ที่สร้างคุณค่าอยู่มากพอแล้ว
ลองเพิ่มโพสต์ที่ทำให้คนมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ
คนที่ติดตามจะมั่นใจมากขึ้น
แล้วส่วนใหญ่มักจะซื้อตามแบบ ที่คุณขึ้นในโพสต์แบบนี้
– มีโพสต์ภาพแบบซื้อยกลัง ก็จะมีคนซื้อตามแบบ
– มีโพสต์ว่าซื้อแบบขายปลีกได้ ก็จะมีคนซื้อตามแบบขายปลีก
สิ่งที่คุณโพสต์ไปแบบไหน
คนก็จะทำตามสิ่งที่คุณโพสต์
5 : ช่วงขายของ
เมื่อคุณให้คุณค่ากับคนติดตามได้มากพอแล้ว
เขารู้จักคุณมากพอแล้ว
เขารู้ว่าคุณคือตัวจริงในธุรกิจนี้
หากมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่คุณให้คุณค่ามาตลอด
เขาจะไม่ปรึกษาใคร
แต่จะมาปรึกษากับคุณ
ในวันที่คุณเอ่ยปาก
เสนอขายหรือยื่นข้อเสนอให้กับเขา
วันนั้นความลังเลหรือสงสัย
แทบจะไม่มีเลย
เพราะเขาอนุญาตให้คุณขายของเขาได้
อย่างน้อย ก็ตัดสินใจได้เร็วกว่าวันแรกที่ไม่เคยรู้จักคุณเลย
ลองนำไปปรับใช้กันนะครับ
ผมคิดว่า มันจะมีประโยชน์ ในการทำเพจ ของคุณเพิ่มมากขึ้น
อย่างน้อย
ก็มากกว่าตอนที่ยังไม่ได้อ่าน Content นี้ 😉
สรุป
ความหมายของตัวเลขในสูตร 80/15/5 นั่น คือ
80 : Content ที่ส่งมอบคุณค่าให้กับคนอ่าน หรือ คนติดตาม
15 : testimonial ตัวอย่างการใช้งาน การรีวิวจากคนใช้งานจริง
5 : ช่วงขายของ
ลองนำไปใช้กันะครับ!!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
Remarketing โฆษณาแบบตามหลอกหลอน (สำหรับมือใหม่) ทำได้แบบนี้นี่เอง
Remarketing โฆษณาแบบตามหลอกหลอน(สำหรับมือใหม่)ทำได้แบบนี้นี่เอง
การทำโฆษณาใน Facebook ปัจจุบันนี้
ถ้าจะคาดหวังให้ลูกค้าซื้อของเราตั้งแต่ครั้งแรก น่าจะเป็นเรื่องยาก
เพราะมีตัวเลือกมากมายอยู่ใน Facebook ด้วยกัน
ด้วยกันมี ด้วยกันมีทั้งข่าวสาร วีดีโอ และ Content ต่างๆมากมาย ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งในหน้าฟีด
หากเราทำโฆษณาได้เก่งมากๆ โอกาสที่จะขายได้ตั้งแต่ครั้งแรก ก็เป็นไปได้
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ มักจะใช้เวลาในการดูโฆษณามากกว่า 1 ครั้ง ถึงจะตัดสินใจซื้อได้
จะดีกว่าไหมหากเรารู้วิธีทำโฆษณาที่ตามไปหลอกหลอน
ลูกค้าจนใจอ่อน และซื้อสินค้าของเราในที่สุด
ถ้าให้นึกภาพออกอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นเว็บไซต์จองที่พักดังๆ อย่าง agoda.com สังเกตดีๆ เวลาเราเข้าไปดูข้อมูลที่พักที่เราสนใจ แล้วยังไม่ได้เลือกจองทันที ปิดหน้าจอออกมา แล้วเข้าไปใน Facebook ก็จะเห็นโฆษณาของที่พักที่เราเพิ่งดูไปในเว็บ Agoda
นี่แหละคือโฆษณาที่ตามหลอกหลอน
หรือเวลาเราเข้าไปใน Shopee หรือ Lazada เข้าไปดูสินค้า สนใจ แต่เผอิญว่ายังไม่มีเงินตอนนี้ ก็เลยออกมาจากเว็บไซต์หรือว่า Application ก่อน นั่งทำใจสักพักแล้วเปิด Facebook ดู ไม่นานนักก็จะมีโฆษณาสินค้าที่เราดูใน shopee หรือ Lazada ตามโผล่มาแสดงให้เราเห็น กะเอาให้ใจอ่อนแล้วซื้อทันที
นี่แหละคือโฆษณาที่ตามหลอกหลอน
น่าสนใจแล้วใช่ไหมครับ
เอาล่ะงั้นเรามาดูดีกว่าว่า เจ้าโฆษณาที่ผมบอกว่ามันตามหลอกหลอนนั้นจริงๆแล้วมันเรียกว่าอะไรกันแน่
โฆษณาที่เรากำลังพูดถึงนี้เขาเรียกกันว่า การโฆษณาแบบ ReMarketing
ขออธิบายนิยามของคำว่า ReMarketing ตามความเข้าใจของผมนะครับ
ReMarketing คือ
การทำโฆษณา ที่มีใจความ
จุดประสงค์เดิม กลับไปหาคนที่รู้จัก
หรือ สนใจ สินค้า หรือบริการของเรา
ซึ่งสามารถสื่อสารในรูปแบบที่แตกต่างกันได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นโฆษณาเดิม รูปแบบเดิมๆ
ทำไมเราต้องทำRemarketingด้วยล่ะ
นั่นเป็นเพราะว่า คนเราไม่ได้ตัดสินใจซื้อตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
ยกตัวอย่างกรณีของผมเอง
ผมเห็นโฆษณาแอพพลิเคชั่นที่ชื่อว่า KLOOK เป็น App ที่เราสามารถซื้อตั๋วกิจกรรมซิมการ์ดต่างๆนานา โดยชำระเงินผ่านบัตรเครดิต แล้วได้เป็นคูปอง เพื่อนำไปใช้แลกเปลี่ยนเป็นบริการท่องเที่ยวที่ต่างประเทศ
สะดวกสบายดีนะเพราะว่าไม่ต้อง ไปสื่อสารหรือว่าใช้เงินสดในการซื้อ เมื่อไปถึงต่างประเทศ เพราะผมจะได้เอาเงินสดไปกินไปเที่ยว
กว่าผมจะตัดสินใจใช้บริการของ KLOOK
ผมเห็นโฆษณาของเค้าประมาณ 10 กว่าครั้งได้ ถึงจะตัดสินใจใช้บริการ ตอนก่อนเดินทางไปเที่ยว
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นโฆษณานะครับ
พอจะเห็นภาพของการทำRemarketingแล้วใช่ไหมครับ
จะทำ remarketing ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง
ก่อนจะทำโฆษณาแบบ Remarketing ควรเข้าใจเรื่องต่อไปนี้ก่อนนะครับ เพราะนี่คือพื้นฐานสำหรับการทำ remarketing นั้นเอง
- ควรเข้าใจการทำโฆษณาด้วย ads manager
- ควรเข้าใจเรื่อง custom audience
- ควรเข้าใจเรื่อง Facebook Pixel
- ควรมีเว็บไซต์ ที่ติด Facebook Pixel
สิ่งที่ผมอยากจะให้เน้นเป็นพิเศษนั่นคือแนวคิดของการทำ Custom audience เพราะจำเป็นมากในการทำRemarketing ซึ่ง Custom audience ที่อยากจะให้ใช้ คือการทำ Custom audience จากคน จากคนดูวีดีโอ และคนเข้าเว็บไซต์
แนวคิดของ custom audience ด้วย video
ลองสังเกตดูนะครับ เวลาเราชอบดู คลิปอะไรนานๆ จนจบแสดงว่าเราชอบมาก ถ้าเป็นคลิปที่เราไม่ชอบ แม้แต่กดพลาด ก็ยังต้องรีบไถหน้าจอไปอย่างรวดเร็ว
ยกตัวอย่างเช่น เราชอบเรื่องฟุตบอล เวลามีคลิปการเตะของทีมบอลที่เราชื่นชอบ ปรากฏขึ้นมาใน Facebook เราจะต้องหยุดดูจนจบหรือเกือบจบ แต่ถ้าไม่ใช่คลิปบอล เป็นเนื้อหาอื่นๆที่เราไม่ได้ชอบเลย เราก็แทบจะไม่มองคลิปนั้นด้วยซ้ำ
ด้วยพฤติกรรมแบบนี้ก็พอจะบอกได้ว่าเราเป็นคนที่ชอบฟุตบอลนั้นเอง
หรือถ้าเป็นผู้หญิง เวลาเห็นคลิปวีดีโอที่โชว์กระเป๋ารองเท้าสวยๆ ก็จะหยุดดูจนจบคลิปหรือเกือบจบคลิป
ดังนั้นการทำ custom audienceคนที่เคยดู video ของเรา 75%-95% ของความยาวทั้งหมด คือคนที่สนใจแบบสุดๆ
ดังนั้นการทำ custom audience คนที่เคยดู video ของเรา 75%-95% ของความยาวทั้งหมด คือคนที่สนใจแบบสุดๆ และมีโอกาสที่จะซื้อสินค้าหรือบริการของเรามากกว่าคนที่ไม่ดูคลิปเลย
พอเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ
แนวคิดของ custom audience ด้วย website
คนที่เข้ามาในเว็บเรา ย่อมเข้ามาเพื่อมีจุดประสงค์ เพื่อดูข้อมูลในเว็บไซต์ของเรา เพราะเว็บของเราคือเว็บเฉพาะทาง เป็นเรื่องของสินค้าหรือบริการของเราเท่านั้น
ไม่ใช่เว็บทั่วไปหรือเว็บบันเทิงที่ต้องมาติดตามข่าว
ถ้าเข้าชมนานๆ แสดงว่าเขาสนใจ ไม่ได้พลาดมาเจอ ถ้าเขาดูหน้าไหน แสดงว่าเขาชอบเนื้อหาในหน้านั้น
ถ้าเราจะทำ Custom Audience ของคนเข้าเว็บไซต์ เราจึงควรเลือกคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของเรา ในเวลานานๆ และถ้าเขาเข้าดูข้อมูลสินค้า หรือ บริการในหน้าไหน แสดงว่า ถ้าเขาเห็นสินค้านี้อีกครั้ง ก็จะจดจำได้
สำหรับการทำ custom audience ด้วยเว็บไซต์ จำเป็นต้องมี เว็บไซต์ ที่ติดตั้ง Facebook Pixel ไว้ด้วย จึงจะทำ Remarketing ของคนเข้าเว็บได้
ถ้าอยากรู้เรื่อง Facebook Pixel ให้ไปดูได้ใน Content นี้ครับ
สรุปแนวคิดของการทำโฆษณาแบบ Remarketing สำหรับมือใหม่ไว้แบบนี้นะครับ
1. ทำโฆษณาแบบวัตถุประสงค์การรับชมวีดีโอ แล้วทำโฆษณาให้คนเห็นเยอะๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ
2. ทำ Custom audience ของคนที่ดูโฆษณาเกิน 75 หรือ 95 เปอร์เซ็นต์ของความยาวทั้งหมดของวีดีโอ
3. ทำโฆษณากลับไปหากลุ่มเป้าหมาย เราทำเอาไว้ใน Custom Audience
ถ้าสำหรับคนที่มีเว็บไซต์ แนวคิดของการทำโฆษณาRemarketing โดยเว็บไซต์ก็คือ
1. ทำโฆษณาแบบวัตถุประสงค์แบบ Traffic แล้วทำโฆษณาให้คนเห็นเยอะๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ
2.ทำ Custom audience ของคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของเรา
3. ทำโฆษณากลับไปหากลุ่มเป้าหมาย เราทำเอาไว้ใน Custom Audience
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการทำ Remarketing แบบพื้นฐานเท่านั้น ยังมีวิธีการทำที่ละเอียดมากไปกว่านี้
แต่อยากให้ทุกคนลองทำ ปรับใช้ตามความเหมาะสมเสียก่อน
ถ้าทำแล้วติดปัญหาอะไรสามารถสอบถามกันได้นะครับ
ทำโฆษณาแบบหลอกหลอน Remarketing Retargeting สำหรับมือใหม่ ทำได้แบบนี้นี่เอง | digitalnook
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ลบโพสต์ เฟสบุ๊ค ที่มีแทร็คไปรษณีย์ พร้อมกันหลายๆโพสต์ ทำได้แบบนี้นี่เอง
ลบโพสต์ เฟสบุ๊ค ที่มีแทร็คไปรษณีย์ พร้อมกันหลายๆโพสต์ ทำได้แบบนี้นี่เอง
หลังจากที่กระแส หวั่นเกรงกลัวโดนเฟสบุ๊คปิดเพจ ปิดบัญชี เพราะการโพสต์ภาพแทรคกิ้งไปรษณีย์
คนทำเพจอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ต้องหาวิธีการนั่งลบโพสต์เก่าๆ กันจ้าละหวั่น
จะดีกว่ามั้ย หากวันนี้ มีวิธีการลบโพสต์ พร้อมๆ กันทีเดียวหลายโพสต์
ไม่ต้องมานั่งไล่ดูกันตาเหลือก
วิธีนี้ เป็นวิธีง่ายๆ แต่ได้ผล
มันมีให้เราใช้อยู่แล้ว
อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร มาดูกันเลยจ้า
แต่ถ้าใครอยากอ่านวิธีทำ แบบไม่ดูคลิป ก็ไปที่
\ ads manager \ page post แล้วไปที่ published post แล้วเลือกโพสต์ที่จะลบได้เลยจ้า!!
ถ้างง ก็ย้อนไปดูคลิป ครับ
#digitalnook #facebook #ลบโพสต์ #ปิดเพจ #ปิดบัญชีโฆษณา
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook = http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
โพสต์เลข Tracking Number ไปรษณีย์ ผิดกฏเฟสบุ๊คโดนปิดเพจ จริงหรือ?
สรุปมาให้แล้ว!! ปัญหาคาใจ
โพสต์เลข Tracking Number
ไปรษณีย์ ผิดกฏเฟสบุ๊ค
โดนปิดเพจ จริงหรือ?
..
เนื่องจากช่วงนี้ มีคนพูดถึงกันเยอะ เกี่ยวกับเรื่องนี้
ทางผม เลยขอ อาสา chat ไปสอบถาม เกี่ยวกับนโยบายของการลงโฆษณา facebook
ว่าสามารถโพสต์ track ไปรษณีย์ พัสดุ ได้หรือไม่
เพื่อฟังจากปาก ของเจ้าหน้าที่ เฟสบุ๊คเองครับ
ได้ความว่าอย่างนี้
..
บทสนทนา ถามตอบ เกี่ยวกับเรื่องห้ามโพสต์ Track Number facebook
…
ช่วงนี้ มีคนพูดถึงกันมาก เกี่ยวกับการโพสต์ภาพ slip เลข track ไปรษณีย์ การขนส่งต่างๆ
การรีวิวสินค้าจากลูกค้า ที่เกิดขึ้นใน inbox facebook
ว่าถ้าโพสต์แล้ว ถือเป็นการผิดกฏ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
และมีโอกาส โดนปิดเพจ ปิดบัญชีโฆษณา
อยากสอบถามว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ใช่หรือไม่
.
FB : ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ
ในส่วนนี้ ทางเราจะไม่แนะนำค่ะ เนื่องจากผู้ใช้ท่านอื่นๆ อาจจะเข้าถึงข้อมูลการขนส่งได้
ซึ่งแฟนเพจบางท่านอาจจะโอเคกับเรื่องนี้ หรือบางท่านอาจจะไม่โอเคค่ะ
และการเป็นรีวิวจากลูกค้า ที่เป็นการ screenshot หน้า platform ของเรา หรือรีวิวเปรียบเทียบก่อนหลัง จะผิดนโยบายอยู่แล้วค่ะ
.
เพื่อป้องกันความเสี่ยง ทางเราแนะนำให้หลีกเลี่ยงนะคะ
>> ทั้งการโพสต์ และ การส่ง review ผ่าน inbox ด้วยใช่มั้ยครับ
และสำหรับ screenshot ใน platform อย่าง line ก็รวมอยู่ในกรณีนี้ด้วยใช่มั้ยครับ
.
FB : หากสนทนาผ่าน inbox ที่เป็นแชทส่วนตัว จะสามารถทำได้ค่ะ หากเป็นเลข track ไปรษณีย์ เป็นรายบุคคล
.
>> ถ้าเป็นสาธารณะ ถือว่า เป็นการละเมิดสิทธิ์ นะครับ
.
FB : ขอบพระคุณสำหรับความร่วมมือและความเข้าใจนะคะ
.
>> อีกคำถามนะครับ / สำหรับการที่ลูกค้า มาโพสต์ ที่อยู่เอง ใต้โพสต์ แบบนี้ ถือว่าผิดมั้ย
เพราะว่า ไม่ได้การโพสต์จากเพจเอง
.
FB : เป็นการโพสตืจากลูกค้าเองโดยเจตนาถูกต้องหมคะ เพจไม่ได้เป็นผู้ถามหรือระบุให้โพสต์ ถูกต้องไหมคะ
.
>> ใช่ครับ ลูกค้ามาโพสต์เอง
.
FB : ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าแบบนั้น แต่เพื่อรักษามาตรฐานชุมชน ทางแอดมินเพจ สามารถลบได้ค่ะ เพื่อป้องกันแฟนเพจท่านอื่นๆ รู้ข้อมูลส่วนตัวของท่านอื่น
.
สรุป นะครับ
.
– ท่านใด ที่ทำการโพสต์ Track ไปรษณีย์ หรือ บริการขนส่งต่างๆ แนะนำให้ลบโพสต์นั้นๆ ออกจากเพจ ด้วยนะครับ เพราะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เนื่องจากสามารถ ติดตามแกะรอยติดตาม ไปยังที่อยู่ ของคนนั้นๆได้
.
– แต่การส่ง track ไปรษณีย์ หรือ บริการขนส่งต่างๆผ่านทาง inbox ลูกค้าโดยตรง สามารถ ทำได้ เพราะเป็นการกระทำส่วนบุคคล ไม่ผิดกฏ
.
– ท่านใด ที่โพสต์ รีวิว Before After ในเพจ ถือว่าผิดกฏอยู่แล้ว พิจารณา เอาออกจากเพจด้วยนะครับ
.
– ไม่ควรโพสต์ ให้ลูกค้า มาใส่เบอร์โทร หรือ ที่อยู่ที่หน้าเพจ เพราะถือว่าเป็นการผิดกฏของเฟสบุ๊ค
.
– กรณีที่มีลูกค้ามาโพสต์ ที่อยู่ใต้ comment เป็นเจตนาของลูกค้า ทั้งๆ ที่เราไม่ได้บอกให้ใส่ สามารถลบ comment นี้ไป เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
.
– เรื่องของการโดนปิดเพจนั้น ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตอบมาโดยตรง แต่ใช้คำว่า ให้เลี่ยงความเสี่ยงการทำผิดกฏ นั้นๆ จะเป็นการดีกว่า ดังนั้น อะไรที่ผิดกฏ ก็ไม่สมควรทำอยู่แล้วครับ
.
ระมัดระวัง กันให้มากขึ้นกว่าเดิมนะครับ
สำหรับการทำธุรกรรมต่างๆ ในเฟสบุ๊ค
เพราะหากจะทำธุรกิจในบ้านหลังนี้
.
เราต้องเข้าใจ และ ทำตามกฏที่วางไว้
.
#เข้าใจตรงกัน นะครับ
.
#digitalnook
สรุปมาให้!! LINE OA พร้อม ข้อดี ข้อด้อย จากการใช้งานจริง
สรุปมาให้!! LINE OA พร้อม ข้อดี ข้อด้อย จากการใช้งานจริง
หลังจากที่ได้ใช้งาน Line OA จริงๆจังๆ เพราะทางบริษัท Line Corporation จะมีการเปลี่ยนแปลงให้ทุก Account LINE@ เปลี่ยนไปใช้ Line official Account
การเตรียมตัวจึงสำคัญ เพราะแม้หน้าตาหรือการใช้งานใกล้เคียงกัน แต่พอลองใช้งานจริงๆแล้ว พบว่าต้องทำตัวให้ชินพอสมควร เนื่องจากหน้าตาปรับเปลี่ยนไป
ไม่ได้ยากเกินไป เพียงแค่เราอาจจะยังไม่ชินกับเมนูต่างๆ เท่านั้น
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ระหว่างที่ทำการใช้งาน Line OA ก็พบว่ามีทั้งข้อดีและข้อด้อย ที่ได้สังเกตเห็นด้วยตัวเอง จึงอยากจะนำมาแชร์ให้กับเพื่อนๆทุกคนได้อ่าน เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ ใช้งาน Line OA อย่างมีความสุขในปี 2563
เรามาเริ่มที่ ข้อดีก่อนเลย
ข้อดี ของ LINE OA
1. ไม่ต้องจ่ายเงิน ก็มีฟีเจอร์เด็ดๆ ให้ใช้ตั้งแต่แรก
ต้องยอมรับว่ามีฟีเจอร์ที่น่าสนใจที่เราไม่เคยใช้มาก่อนใน LINE @ เยอะแยะมากมาย ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น Rich Menu ซึ่งหากเป็น LINE@ ต้องใช้เงินต่อเดือนประมาณ 2,000 บาท บาทถึงจะสามารถใช้งาน Rich menu ได้
2. มีระบบการ TAG User
ทำให้เราสามารถแยกประเภทลูกค้า ที่อยู่ในแชทได้อย่างสะดวก เลือกคุยได้
3. มีระบบ Note User
เราสามารถเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับ User ที่กำลังแชทอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ เป็นข้อมูลที่ทีม Admin จะเห็นพร้อมๆกันเท่านั้น ทำให้สามารถปฏิบัติต่อเรื่องราวเกี่ยวกับการแชทได้ดี
4. มีระบบสร้างข้อความตอบกลับที่ถามตอบบ่อยๆ
ถ้าใครใช้ Facebook inbox ในเพจบ่อยๆ น่าจะเคยใช้ระบบนี้มาก่อน เราสามารถเลือกทำชุดข้อความตอบกลับ โดยกดแค่ปุ่มเดียวก็ส่งไปหาลูกค้าได้ LINE OA จะมีฟังก์ชันแบบนี้เหมือนกันเลย ทำให้สะดวกในการพิมพ์ แถมยังระบุชื่อ User ได้โดยอัตโนมัติอีกต่างหาก
5. มีระบบ Card Message ที่ส่งลิงค์ไปให้ลูกค้าได้มากถึง 9 ตัวด้วยกัน
สมัยก่อนการบรอดแคสข้อความ ส่ง Message พร้อมลิงค์ได้มากสูงสุด 6 link แต่ใน LINE OA มีระบบ Card message ที่ส่งลิงก์ได้สูงสุด 9 link ด้วยกัน ซึ่งส่งเป็นภาพส่งเลยนะ
6. มี LINE OA Plus E-Commerce มาให้ใช้งาน
เป็นระบบใหม่ ที่น่าสนใจ สำหรับคนที่อยากจะทำระบบ ตะกร้าสินค้าผ่านในไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับลูกค้า เพราะไม่ต้องวิ่งไปใน platform อื่นๆ สามารถทำได้ในตัว application line เลย แต่ก็ยังเป็นช่วงแรกๆ ของการใช้งาน
หากอยากทดลองใช้งาน ต้องทำเรื่องขอไปยังไลน์ เพื่อเปิดฟังก์ชั่นนี้ให้กับเรา
ข้อด้อย ของ LINE OA
1. ขนาดตัวหนังสือเล็กและบาง
เมื่อก่อนเราสามารถอ่านข้อความใน LINE@ ได้อย่างสะดวก เพราะขนาดฟ้อนท์นั้นเท่ากับ Line ปกติ แต่ตอนนี้ใน LINE OA ขนาด Font บาง และเล็กกว่าที่เคยใช้งาน ต้องเพ่งสายตามากกว่าเดิม
2. ไม่สามารถส่งโลเคชั่นไปหาลูกค้าได้
สำหรับร้านค้าที่ต้องส่งโลเคชั่นไปหาลูกค้าในแชท อาจจะรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เพราะตอนนี้ไม่สามารถส่งโลเคชั่นไปหาลูกค้าได้ ต้องปรับเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นแทน เช่นการส่งลิงก์ Google Maps ไปแทน
3. ค่าใช้จ่ายในการ Broadcast คิดตามจริง
น่าจะเป็นช่วงแรกๆที่เรารู้สึกกับการคิดราคาแบบนี้ แต่ในระยะยาวน่าจะเป็นผลดีกับผู้ใช้โดยรวม เพราะคนที่ทำธุรกิจบน Line OA จะต้องคิดให้มากขึ้นเมื่อต้องส่งข้อความไปหาลูกค้า
สำหรับข้อด้อยที่สังเกตเห็นนี้
ทางทีมงาน Line ก็มีการปรับปรุงพัฒนามาเรื่อยๆ
เพราะก่อนหน้านี้ลูกค้าที่แชทมา ฟัง Admin จะมองไม่เห็นว่าอ่านแล้วหรือยังไม่อ่าน
ซึ่งปัญหานี้ได้รับการแก้ไขไปแล้ว
คาดว่าข้อบกพร่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น
น่าจะมีการปรับปรุงและพัฒนาอยู่เรื่อยๆ
แม้ค่าใช้จ่ายในการส่งข้อความจะเพิ่มมากขึ้น
แต่หากเรารู้จะใช้เครื่องมือต่างๆ และวางแผนให้ดี
LINE OA จะเป็นเครื่องมือสื่อสารกับลูกค้าเก่าได้ดี
เพราะต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ๆนั้นมักแพงกว่า การดูแลลูกค้าเก่าเสมอ
หากวันนี้คุณยังไม่ได้ลองใช้งาน Line OA
แนะนำให้สมัครแล้วลองใช้งานกันเลยนะครับ
เพราะเปิด Account แล้วสามารถใช้งานฟังก์ชั่นเจ๋งๆได้ครบหมดเลย
ลองใช้งานให้เคยมือ ตั้งแต่วันนี้
จะได้ไม่เสียเวลาทำมาหากิน เมื่อเวลานั้นมาถึง!!
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook >> http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019
เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสไปร่วมงาน i-creator 2019
ซึ่งเป็นงานรวมพลคนทำ Content คนทำการตลาดออนไลน์ และนักพัฒนา
มีหัวข้อมากมายที่น่าสนใจ
หนังเรื่องการตลาด การทำเนื้อหา Content และการทำเว็บไซต์ รวมไปถึง seo
ที่น่าสนใจที่อยากจะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ก็คือ
seo Trend 2020 บรรยายโดย Pornthep Khetrum ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Google analytics Thailand ซึ่งหากใครสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง Google analytics ก็สามารถ ก็สามารถไปติดตามที่เว็บไซต์ของคุณพรเทพได้เลย
https://googleanalyticsthailand.com/
สำหรับผมถือว่าเป็น 30 นาทีที่ถือว่าคุ้มค่ามากๆที่ได้ฟัง
มีหัวข้อหลักดังต่อไปนี้ครับ
- Featured snippets
- WebP Image
- Voice search
- AI
ถ้าใครที่ไม่เคยทำอะไรมา เห็นชื่อหัวข้อก็อาจจะดูงงๆหน่อย งั้นผมขออธิบายเป็นภาษาง่ายๆ แล้วกันนะครับ
- Featured snippets = การทำให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับสูงที่สุด
- WebP Image = การทำภาพประกอบในเว็บให้ขนาดเล็กที่สุด
- Voice search = การค้นหาข้อมูลด้วยเสียง
- AI = ปัญญาประดิษฐ์
เริ่มกันที่ข้อแรกเลยนั่นคือ
Feature Snippets : การทำให้ผลการค้นหาอยู่ในอันดับสูงที่สุด
ปกติการทำ SEO คือการทำยังไงก็ได้ให้ผลการค้นหาเว็บของเรานั้นติดในอันดับต้นในหน้าแรก แต่สำหรับหัวข้อที่มาบรรยายนี้ คือการทำไงก็ได้ให้ผลการค้นหาของเราอยู่ในลำดับที่สูงกว่าอันดับแรก เรียนเป็นภาษาอังกฤษแบบเท่ๆว่า position Zero
นอกจากจะขึ้นมาอยู่อันดับเหนือใครๆ
ยังมีความโดดเด่นเป็นสง่าอีกต่างหาก
เพราะพื้นที่การแสดงผลนั้นยิ่งใหญ่ตระการตาแบบสุดๆ
แล้วเราจะไปอยู่ในตำแหน่งนั้นได้อย่างไร
ไม่มีสูตรตายตัว แต่มีข้อสังเกตหลายประการที่พบได้ใน Content ประเภทดังกล่าว
ถ้าใครอยากจะอยู่ในลำดับ Position Zero ให้ลองทำแบบนี้ครับ
1. ตอบคำถามให้กับ กลุ่มเป้าหมายเรา ได้ใจความ ภายใน 1 ย่อหน้าเดียว
2. ปรับแต่งออกแบบ structure โครงสร้างหน้าเว็บให้ดี และใส่ heading อันไหนหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย รวมไปถึง bullet point (อันนี้ต้องพึ่งพานักพัฒนาโปรแกรมเมอร์แล้วนะครับ)
3. ถ้าทำเนื้อหาด้วย Table หรือ list เป็น well structure นะครับ มีโอกาสโดนดึงไปเป็น featured snippets แบบนี้เช่นกัน (ให้ลองศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่ง list ใน wordpress หรือ html coding)
เทคนิคทั้งหมดนี้ไม่ได้รับการยืนยันว่า การค้นหาของคุณจะติดอยู่ไหน Position Zero เสมอไป แต่บทความในเว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่ติด Position Zero จะมีคุณลักษณะดังที่กล่าวมา 3 ข้อเสมอ
เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเว็บไซต์ของคุณจะต้องติดลำดับ 1 ใน 10 ด้วยนะ
(สรุปง่ายๆก็คือต้องทำเว็บให้มีคุณภาพที่ดี มีเนื้อหาที่น่าสนใจ ที่สำคัญก็คือต้องมีประโยชน์)
เข้าเรื่องต่อไปครับ Web P Image
WebP Image : การทำภาพประกอบในเว็บให้ขนาดเล็กที่สุด
ถ้าคุณไม่ใช่นักพัฒนาเว็บไซต์ อย่าได้ตกใจไป เพราะว่าคำนี้คุณไม่คุ้นเคยอย่างแน่นอน
แต่ถ้าพูดถึงการเข้าเว็บไซต์ทุกคนน่าจะรู้จักและเข้าใจ
ทุกวันนี้ภาพในเว็บไซต์เราใช้ Format หลายๆแบบ ซึ่งความที่ได้รับความนิยมนั้นก็คือ .jpg .png .gif
- ถ้าเป็นภาพกราฟฟิก Vector ส่วนใหญ่เราจะใช้ .gif
- ถ้าเป็นภาพคน วัตถุต่างๆ เราจะเลือกใช้ .jpg
- ถ้าต้องการความละเอียดสูงๆ แต่ทำให้ background โปร่งใสได้ เราจะเลือกใช้ .png
สำหรับการทำ seo
Google จะให้คะแนนสูงสำหรับเว็บไซต์ที่เข้าเร็ว
หากเราต้องการให้คนเข้าเว็บไซต์ด้วยความเร็ว ต้องใช้ภาพที่มีขนาดไฟล์น้อยๆ ไว้ก่อน
แต่ส่วนใหญ่ คนทำ Content ที่ทำเว็บในยุคอินเตอร์เน็ต 5G มักจะเผลอใส่ภาพที่มีขนาดไฟล์ใหญ่ๆ เข้าไปในเว็บ จึงทำให้การแสดงผลนั้นช้ามากกว่าปกติ
เช่นได้ภาพมาจากกล้องขนาด 10 MB ก็เอามาใส่ในเว็บเลย
แบบนี้ทำให้เว็บโหลดนานมากๆ
การนำภาพเข้าไปในเว็บควรย่อให้ขนาดไฟล์เหลือประมาณ 200-300 KB
แต่จะดีกว่าไหมหากเรามีเทคโนโลยีที่ทำให้ ภาพชัดเหมือนเดิม แต่ขนาดไฟล์น้อยลง 30%
ขนาดไฟล์ภาพเล็กลง ทำให้เว็บแสดงผลเร็วขึ้น > เมื่อแบบเร็วขึ้นคะแนนของ seo ก็จะดีขึ้น
WebP คือเทคโนโลยีที่มาช่วยย่อขนาดไฟล์ให้เล็กลงกว่าเดิม 30%
แต่ภาพยังชัดเจนใกล้เคียงของเดิม
ฟังมาแล้วก็ดูดีนะ
เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงต้นๆ
- Browser Safari ที่เราใช้กันใน iPhone iPad เครื่อง Mac ยังไม่รองรับ
- Photoshop ยังไม่รองรับการสร้าง format WebP (แต่มีคนพัฒนา plugin มาให้ใช้ชื่อว่า webpshop)
- Server hosting บางที่ยังไม่ support การทำงานของ WebP
- Magento ยังไม่รองรับ WebP
แม้จะยังไม่ยอมรับในตอนนี้ แต่หลายๆเว็บที่ใช้งานตอนนี้ ก็เลือกใช้วิธีการให้ระบบตรวจสอบว่า user ใช้ browser อะไรเข้าใช้งาน
ถ้าเป็น browser ที่รองรับ ก็ ใช้ WebP ถ้าไม่รองรับ ก็ไม่ต้องใช้ แค่นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม WebP ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มาช่วยทำให้การเข้าเว็บนั้นเร็วมากขึ้นกว่าเดิมดังนั้นควรศึกษาไว้นะครับ
ต่อไปเป็นเรื่องของ Voice Search
Voice Search : การค้นหาด้วยเสียง
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้นมีการพูดถึงเทคโนโลยีการค้นหาด้วยเสียงอย่างต่อเนื่อง ที่เราคุ้นเคยกันก็คือ Siri ใน iPhone และ Google Assistant
ช่วงแรกๆเป็นที่ฮือฮามาก
เพราะเราได้พูดคุยกับมือถือ ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นก็มีทั้ง ถูกบ้างผิดบ้าง กวนโอ๊ยบ้าง
นั่นคือช่วงที่ระบบทำการพัฒนาและเรียนรู้ไปเรื่อยๆจากการใช้งานของคน
เมื่อเวลาผ่านไป ระบบมีความเข้าใจภาษามนุษย์มากขึ้น
ที่สำคัญมีคน Search ด้วยเสียงเพิ่มมากขึ้น 20%
เมื่อคนรู้ว่าสามารถค้นหา Google ด้วยการใช้เสียงแทนการพิมพ์ได้ ความยาวของ keyword ที่ใช้ค้นหาก็เปลี่ยนไป
Keyword ต่างๆจะยาวขึ้นมากกว่าเดิม
ไม่ได้พิมพ์ง่ายๆแค่ “เที่ยวเชียงใหม่”
แต่จะเป็นการถามว่า “เที่ยวเชียงใหม่ราคาถูก 2 วัน 1 คืนหาได้ที่ไหน”
แล้วที่สำคัญ ประโยคคำถามจาก voice search
มันจะเป็นคำถามที่ถูกนำไปขึ้นใน Position Zero ด้วย
ดังนั้นการศึกษาเรื่องการค้นหาด้วยเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากรู้ว่าคนค้นหาข้อมูลด้วยประโยคอะไร เราก็สามารถทำบทความอันนั้นเอาไว้ได้ก่อน
เรื่องสุดท้ายครับ AI
AI : ปัญญาประดิษฐ์
Google ได้พัฒนาอัลกอริทึ่มตัวใหม่ ที่ชื่อว่า BERT
ถ้าจะให้สรุปง่ายๆเกี่ยวกับ BERT
นั่นคือ คนทำ Content ต้องสนใจว่าคนอ่านต้องการอะไร
Google จากประมวลผลหา Content ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด
ขอเรียกว่า User Intent
หลังจากที่หาข้อมูลมาก็พบว่า User Intent แบ่งเป็น 4 แบบ
(credit by rotber katai)
User Intent มี 4 ประเภท
- Navigational : ค้นหาทางเข้าเว็บไซต์
สมัยนี้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจำชื่อเว็บ ไม่ค่อยพิมพ์ชื่อตรงๆ แต่จะ พิมพ์จาก Google ไปเลย เช่นคำว่า ข่าวสด Pantip ไทยรัฐ แล้วค่อยไปหาเว็บนั้นๆ 😉 - informational : หาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนซื้อ
เมื่อคนเรามีความสนใจในเรื่องใด จะตัดสินใจซื้อหรือใช้งาน มาค้นหาด้วยชื่อแล้วตามด้วยคำว่า รีวิว ดีไหม ราคาเท่าไหร่ pantip เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมในการตัดสินใจซื้อนั่นเอง - commercial : ค้นหาด้วยชื่อด้วยประเภทธุรกิจหรือบริการ
การค้นหานี้เรามักจะใช้บ่อยบ่อย เวลาที่มีปัญหา หรือต้องการใช้บริการ ยกตัวอย่างชัดๆก็คือ ร้านอาหาร อู่ซ่อมรถยนต์ โรงงานเย็บผ้า ร้านตัดผม ซึ่งหากใครต้องการได้ลูกค้าใหม่ๆที่ไม่เคยใช้บริการของเรา การใส่คีย์เวิร์ดเหล่านี้เข้าไป จะทำให้ลูกค้าใหม่ๆ มาเจอเราได้ง่ายขึ้น - transactional : หาวิธีการจ่ายเงิน
การค้นหาแบบนี้ถือว่าพร้อมจ่ายเงินแบบสุดๆ เพราะเป็นการค้นหาที่จ่ายเงิน เช่นคำว่า สมัคร netflix อย่างไร ซื้อประกันเดินทางออนไลน์ที่ไหน จ่ายค่าไฟออนไลน์ สมัคร spotify อย่างไร หากมีการค้นหาด้วยที่ Keyword เหล่านี้คือพร้อมซื้อแน่นอน
แต่เหนือสิ่งอื่นใด
ทำเนื้อหาต่างๆให้ประทับใจ Google
จะต้องทำเนื้อหาให้ถูกใจคนอ่านเป็นจำนวนมากด้วย
อยากให้ AI รักบทความของเรา
เราต้องทำให้คนอื่นๆรับบทความของเราก่อน
มีคำนิยามที่น่าสนใจอยู่คำนึงเกี่ยวกับ seo
เมื่อก่อนเรานิยามคำนี้มาจาก search engine optimization
แต่ seo ปี 2020
เราจะนิยามใหม่ว่า มันคือ “searcher Experience optimization”
นั่นคือการปรับปรุงประสบการณ์ให้เหมาะกับคนค้นหานั้นเอง
ไม่ได้ทำเอาใจ search engine แต่ทำเพื่อเอาใจคนอ่าน
และทั้งหมดนั้นก็คือ บทสรุปหัวข้อสัมมนา SEO Trend 2020 จากงาน I Creator 2019
ครับผม
ฟังคลิปแบบ Video กันก็ได้นะครับ 40 นาที
สรุป SEO Trend 2020 จากงาน i creator 2019 | digitalnook
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook >> http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
ย้าย LINE@ไป LINE OA ทำได้ง่ายๆภายใน 3 นาที
ย้าย LINE@ไป LINE OA ทำได้ง่ายๆภายใน 3 นาที
ก่อนที่ปีใหม่จะเข้ามาถึง
ช่วงนี้เราจะได้ยินข่าวของการปรับเปลี่ยนอย่างยิ่งใหญ่ของ Line@
นั่นคือการเปลี่ยนระบบไปใช้เป็น LINE Official Account
ทุกคนที่ใช้งาน LINE@ จะต้องเปลี่ยนระบบอย่างแน่นอน
ทุกบัญชีไม่มีข้อยกเว้น
การเตรียมตัวเพื่อรับมือกับการเรียนรู้เครื่องมือใหม่ๆ เป็นสิ่งสำคัญ
แต่การจะเปลี่ยนจาก LINE@เป็น LINE OA
นั้นทำอย่างไร
หากวันนี้มีข้อสงสัย
ผมมีคำตอบมาให้ครับ
วิธีการย้าย LINE@ ไปเป็น LINE OA
มีทั้งหมดด้วยกัน 2 วิธี
นั่นคือการย้ายผ่าน Desktop และการย้ายผ่าน mobile Application Line@
ย้าย Line@ ไป LINE OA ผ่าน Desktop
1. ไปที่ URL https://admin-official.line.me/ แล้วทำการ login ตามปกติ
2. ไปที่ Account ที่เราต้องการเปลี่ยน
3. หากสามารถเปลี่ยนได้จัดขึ้นบรรทัดสีแดงๆที่เขียนว่า “โอนย้ายบัญชีไปยัง LINE Official Account”
4. ระบบจะนำไปสู่หน้าถัดไป ให้เราเลือกแพ็คเกจใหม่
5. จะขึ้นแสดงหน้า “บัญชีของคุณพร้อมที่จะโอนย้ายไปยัง LINE Official Account แล้ว” ให้เราไปกดติ๊ก ตรงหน้าบรรทัดที่เขียนว่า “ข้าพเจ้ารับทราบรายละเอียดต่างๆ….”
6. กด submit แล้ว จะทำการโอนย้ายบัญชีของคุณไปทันที
7. เสร็จสิ้นขั้นตอนการย้าย
คลิปสอน ย้าย Line@ ไป LINE OA ผ่าน Desktop
ย้าย Line@ ไป LINE OA ผ่าน Mobile Application
1. เปิด LINE@ Application แล้วเข้าไปยังบัญชีที่ต้องการย้าย
2. กดไปที่คำว่า Manage member and Account
3. กดไปที่คำว่า “migrate your Account”
4. เลื่อนลงมาบรรทัดล่างสุดไปหาคำว่า “Select a new plan”
5. เลื่อนลงมาด้านล่าง แล้วให้กดติดปุ่มที่เขียนว่า “I Understand the details….”
6. กดปุ่ม “Migrate”
7. เสร็จสิ้นขั้นตอนการย้าย
คลิปสอน ย้าย Line@ ไป LINE OA ผ่าน Application Line@
และทั้งหมดนี้ก็คือการย้ายจาก LINE@ มาเป็น LINE OA ง่ายๆภายใน 3 นาที
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการใช้ LINE OA
ช่วงก่อนที่จะโดนบังคับให้ย้ายไปใช้ Line OA
หากใครต้องการศึกษา ใช้งาน สามารถสมัคร account เพื่อศึกษาก่อนได้เลย
ไม่จำเป็น ย้าย account เดิมไปก็ได้
ไปลองผิดลองถูก เพื่อให้รู้ด้วยตัวเอง
หรือจะหาคู่มือ เพื่อลดเวลาการลองผิดลองถูก ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี
หากใครมีปัญหาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการใช้ Line หวย
สามารถคอมเม้นใต้โพสต์นี้ แล้วผมจะช่วยตอบคำถามข้อสงสัยให้นะครับ
—-
ติดตาม พี่นุก สอนรุกการตลาดออนไลน์ได้ในช่องต่อไปนี้
website : https://www.digitalnook.co/
medium : https://medium.com/digitalnook
facebook : https://www.facebook.com/digitalnook/
line : @digitalnook >> http://bit.ly/digitalnookline
youtube : http://bit.ly/sub-digitalnook-yt
Youtube Premium มาไทยแล้ว พร้อมเทคนิคประหยัดค่าบริการรายเดือน สำหรับคนใช้ iOS
Youtube Premium มาไทยแล้ว พร้อมเทคนิคประหยัดค่าบริการรายเดือน สำหรับคนใช้ iOS
ดูหนังฟังเพลง ไม่มีสะดุด
เปิด Youtube แบบไม่มีโฆษณาได้แล้ว
พร้อมเทคนิคประหยัดค่าบริการรายเดือน
สำหรับคนใช้ iOS
เชื่อว่าหลายๆ คน ที่ชอบดู Youtube อยู่เป็นประจำ
น่าจะเฝ้ารอคอยบริการ อะไรสักอย่าง ที่ทำให้เราไม่ต้องดูโฆษณาตอนต้นคลิป
(ฝั่ง Youtuber ไม่น่าจะชอบ เพราะหมายถึงรายได้จากค่าโฆษณา ที่ลดลง แต่ไม่น่าจะลดลงขนาดนั้น)
ตอนนี้บริการที่ว่านั้น มาถึงเมืองไทยแล้ว
เมื่อ Youtube ได้เปิดบริการ YouTube Premium
บริการที่ทำให้คุณได้ดู content ใน Youtube แบบไม่ต้องรอโฆษณา หรือ กด skip ข้ามเลย
ซึ่งนั่นคือหนึ่งในบรรดาความพรีเมียมที่มีให้
เพราะคุณสมบัติที่มากกว่า Youtube แบบทั่วไป นั่นคือ
– บันทึก video และ playlist ลงในสมาร์ทโฟน เพื่อเล่นแบบ Offline ได้
– เล่น video ได้ขณะที่ใช้ application อื่นๆ ไปด้วยได้
YouTube Premium ประกอบด้วยอะไรบ้าง
YouTube Premium
• วิดีโอแบบไม่มีโฆษณา: รับชมวิดีโอมากมายโดยไม่มีโฆษณา
• ดาวน์โหลดวิดีโอเพื่อดูแบบออฟไลน์: บันทึกวิดีโอและเพลย์ลิสต์ลงในอุปกรณ์เคลื่อนที่ และเล่นแบบออฟไลน์
• การเล่นอยู่เบื้องหลัง: ให้วิดีโอยังเล่นอยู่ขณะใช้แอปอื่นๆ หรือเมื่อปิดหน้าจอ
(Android : ค่าใช้จ่ายเดือนละ 159 บาทต่อเดือน สำหรับแบบบุคคล และ 239 บาทต่อเดือน สำหรับครอบครัว เพิ่มสมาชิกในครอบครัว (อายุ 13 ขึ้นไป) ได้สูงสุด 5 คน )
(iOS : ค่าใช้จ่ายเดือนละ 209 บาทต่อเดือน สำหรับแบบบุคคล และ 309 บาทต่อเดอน สำหรับครอบครัว เพิ่มสมาชิกในครอบครัว (อายุ 13 ขึ้นไป) ได้สูงสุด 5 คน )
YouTube Music
• สำรวจโลกแห่งเสียงเพลงได้ง่ายๆ ด้วยแอป YouTube Music ใหม่ที่ได้รับการปรับปรุง
• เพลงแบบไม่มีโฆษณา: ฟังเพลงมากมายโดยไม่มีโฆษณา
• ดาวน์โหลดเพลงเพื่อฟังแบบออฟไลน์: บันทึกเพลงและเพลย์ลิสต์ลงในแอป YouTube Music และฟังแบบออฟไลน์
• การเล่นอยู่เบื้องหลัง: ให้เพลงยังเล่นอยู่ขณะใช้แอปอื่นๆ หรือเมื่อปิดหน้าจอ
(Android : ค่าใช้จ่ายเดือนละ 129 บาทต่อเดือน สำหรับแบบบุคคล และ 199 บาทต่อเดือน สำหรับครอบครัว เพิ่มสมาชิกในครอบครัว (อายุ 13 ขึ้นไป) ได้สูงสุด 5 คน )
(iOS : ค่าใช้จ่ายเดือนละ 169 บาทต่อเดือน สำหรับแบบบุคคล และ 259 บาทต่อเดอน สำหรับครอบครัว เพิ่มสมาชิกในครอบครัว (อายุ 13 ขึ้นไป) ได้สูงสุด 5 คน )
YouTube Kids
• ไม่มีโฆษณาและเล่นแบบออฟไลน์ในแอป YouTube Kids
Google Play Music
• รวมอยู่แล้วโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
การดาวน์โหลดวิดีโอและเพลงทำงานอย่างไร
ดาวน์โหลดวิดีโอและเพลงในอุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อรับชมและฟังแบบออฟไลน์ได้นานถึง 30 วันโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต โปรดดูที่บทความศูนย์ช่วยเหลือนี้สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีดาวน์โหลดวิดีโอและเพลง
ปล.
ถ้าซื้อ Youtube Premium ใช้งานได้ทั้ง Youtube Video + Youtube Music
เทคนิคประหยัดค่ารายเดือน สำหรับคนสมัครผ่าน iOS
สำหรับใครที่ใช้งาน iOS
แนะนำว่าให้สมัครผ่าน Desktop / mobile web หรือ Android แล้วมา Login ผ่าน application แทน
จะได้ราคาเท่ากันจ้า ทำงานได้เหมือนกันเลย
แถมประหยัดกว่า!!
แล้วจะทำยังไง ถึงจะใช้บริการ Youtube Premium
ผ่าน Mobile Application
1. เปิด application Youtube ในมือถือของคุณ แล้วเข้าไปที่ User ด้านขวาบน
2. หาคำว่า Get YouTube Premium แล้วกดไป
3. ลองใช้งานได้ฟรี 1 เดือน หลังจากนั้น เสียเงินเดือนตาม Package จ้า
ผ่าน Desktop
1. หน้า youtube.com
2. เปิดเป็นค่าสมาชิกแบบเสียค่าใช้จ่าย
3. มีให้เลือกทั้งแบบ Youtube Premium และ Youtube Music
หากยังไม่รู้เรื่องนี้ อย่าเพิ่งเปิดเพจขายของ
หากยังไม่รู้เรื่องนี้ อย่าเพิ่งเปิดเพจขายของ
มีเจ้าของกิจการ มีผู้ประกอบการหลายคน
ปรึกษาผมมาส่วนตัวว่า
อยากเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ยังไม่ได้เปิดเพจเลย
จะเริ่มต้นยังไงดี
จะต้องทำเนื้อหา จะต้องทำ Content แบบไหน
หลายท่านน่าจะประสบปัญหาแบบนี้เหมือนกัน
ผมขอแชร์ไอเดียให้ฟังแบบนี้ครับ
การทำธุรกิจออนไลน์ ก็คือการประยุกต์วิธีการขายของ วิธีทำธุรกิจในโลกออฟไลน์
แล้วมาประยุกต์ใช้กับเครื่องมือที่มีอยู่บนโลกออนไลน์เท่านั้นเอง
ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
เพียงแค่เครื่องมือที่ใช้มันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง
อันดับแรกต้องตอบคำถามตัวเองว่า
ยอดขายที่เกิดขึ้นทั้งหมด 100 เปอร์เซ็น
หากแบ่งเป็นสัดส่วนออกมาแล้ว
ยอดขายที่เกิดจากลูกค้าประเภทไหนมากที่สุด
ให้เลือกโฟกัสไปที่ลูกค้าประเภทนั้นก่อนเสมอ
เพราะจะทำได้ง่ายกว่า
และคุ้มค่าที่จะทำมากที่สุด
เมื่อเราเลือกประเภทลูกค้าได้แล้ว
เราก็จะรู้วิธีการ สร้างรายได้จากลูกค้าประเภทนั้น
การตั้งชื่อเพจก็จะเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าเหล่านั้นต้องการ
เพื่อทำให้ลูกค้าใหม่ๆได้มาเจอเราง่ายขึ้น
ภาพที่เราทำเอาไว้ใน Header ของ Facebook
ก็ควรจะทำให้แสดงไปอย่างชัดเจนว่า สินค้าหรือบริการของเรานั้นตอบโจทย์เขา
เนื้อหาที่เราจะนำเสนอผ่านเพจ
ก็จะต้องเป็นเรื่องราวในแนวทางเดียวกัน ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
เพราะคนอ่าน คนติดตามจะสับสน ว่าตกลงเพจของเรานำเสนออะไรกันแน่
เนื้อหาที่เราจะทำควรเป็นเนื้อหาที่สร้างคุณค่าให้คนติดตาม
เป็นเนื้อหาที่กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของเราอยากจะอ่านจริงๆ
ส่วนเนื้อหาที่จะขายของนั้นควรเป็นเปอร์เซ็นต์ที่รองลงมา
การสร้างคุณค่าให้คนเห็นเยอะๆ
เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความคุ้นเคยให้กับผู้ติดตาม
เพราะการที่คนจะเลือกซื้อเลือกใช้สินค้าหรือบริการ
จะไม่ได้มองเพียงแค่เรื่องราคาเป็นหลัก
แต่ยังมองในมุมอื่นๆ อาทิ ความมั่นใจ บริการหลังการขาย การรับประกัน ผลลัพธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ มีคนเคยรีวิวเอาไว้อย่างไรบ้าง?
ถ้าเป็นสมัยก่อนเริ่มพวกนี้เราอาจจะไม่ต้องคิดมาก
เพราะตัวเลือกมีไม่เยอะ มีอะไรฉันก็พร้อมที่จะซื้อ
แต่วันนี้ทุกคนวิ่งเข้ามาในตลาดออนไลน์เกือบหมดแล้ว
ในแง่ของเครื่องมือทุกคนมีความรู้เท่าเทียมกัน
ความแตกต่างของสินค้า หรือบริการ ก็คือ
ความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่น ที่เขามีให้ต่อผู้ให้บริการนั่นเอง
วันนี้คุณสร้างความแตกต่างของคุณแล้วหรือยัง
ถ้ายังไม่มีเลย
ให้คิด และวางแผนก่อนที่จะเปิดเพจ
ลองคิดจากปัจจุบันก็ได้
ทุกวันนี้ลูกค้าที่ยังซื้อสินค้าของคุณอยู่นั้น เขาเลือกซื้อ เลือกใช้บริการจากคุณเพราะอะไร
นี่แหละคือความแตกต่าง
คุณจะต้องชูสิ่งนี้ให้ทุกคนได้เห็น
เพราะเมื่อเขาเห็น เขาจะมองถึงความแตกต่างของคุณ
ลองทำเป็นเช็คลิสต์ เป็นข้อๆ ก็ได้ครับ
เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ จะเป็นแหล่งข้อมูล ในการทำเนื้อหา ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว!
เป็นกำลังใจให้ครับ
#digitalnook